วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

ครั้งแรกพาเสียว ... จะไปเดินซอยละลายทรัพย์กลับไปโดนเปิดซิง ... สุดท้ายให้ไปหมดเลยทั้งตัวทั้งหัวใจ

แม้อากาศจะร้อนทำสถิติใหม่ทุกวี่วัน แต่ก็ไม่วายหาเรื่องตะลอนได้ทุกวี่วัน ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไปเดินแถวซอยละลายทรัพย์ นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มนุษย์กรุงอย่างผมเคยได้ยินมาแต่เล็กแต่น้อย จนวันนี้เข้าขั้นแก่แล้ว ก็ยังไม่เคยได้ไปให้เห็นจริงๆซักที ว่าทำไมใครๆถึงบอกว่ามันละลายทรัพย์ได้สมชื่อ

ผมเลือกที่จะใช้บริการสาธารณะ เรียกซะไพเราะจริงๆมันก็รถเมล์นั่นแหละครับ สาย ปอ.4 ไปลงที่โรงพยาบาลจุฬา แล้วจะเดินต่อไปอีกนิดหน่อย แล้วก็กะว่าจะไปหาของอร่อยๆกินแถวนั้น ตั้งแต่เช้าเลยไม่ได้มีอะไรลงท้องแม้แต่นิดเดียว

( อาคารที่รับบริจาคร่างกายเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ประโยชน์ ที่ โรงพยาบาลจุฬา สภากาชาด )

แต่ระหว่างที่รถติดอยู่นั้น อยู่ๆก็คิดขึ้นมาได้ว่า ที่โรงพยาบาลจุฬา สภากาชาดไทย แห่งนี้เป็นที่รับบริจาคร่างกาย เพื่อที่จะให้นักศึกษาแพทย์ไปใช้ศึกษา หรือที่เรียกกันว่า " อาจารย์ใหญ่ " นั่นแหละครับ ก็พลันได้เกิดความคิดดีๆขึ้นมาในหัวทันที ก่อนหน้านี้ก็เคยคิดไว้แล้วว่าจะบริจาค เพราะรู้สึกว่าตัวเองตอนที่มีชีวิตอยู่นี้ ยังทำดีไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ก็เลยว่าตอนที่ตายแล้ว อะไรก็เอาไปไม่ได้ สู้เอาร่างกายที่ยังพอมีประโยชน์ไปให้นักศึกษาแพทย์เค้าศึกษาดีกว่า

ไหนๆก็มาถึงหน้าโรงพยาบาลจุฬาแล้ว ก็ทำซะให้เรียบร้อยไปเลยดีกว่า ว่าแล้วพอลงจากรถ ก็ถามทางไปยังตึกบริจาคร่างกาย ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากประตูที่ป้ายรถเมล์นั้น ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากอะไรครับ มีแบบฟอร์มมาให้กรอกหนึ่งแผ่น ลงลายเซ็นไว้ว่าเรายินยอม และมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน สิ่งที่ต้องเตรียมไปก็มีแต่สำเนาบัตรประชาชนแผ่นเดียวเท่านั้น

( เอกสารแสดงรายละเอียดในการบริจาคร่างกาย เรากรอกแค่ใบเดียวพร้อมสำเนาบัตรประชาชน )

การบริจาคร่างกายสำหรับผมดูไม่ใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจอะไรนัก เพราะมีความตั้งใจมานานแล้ว และอีกอย่างคือ ไม่เสียว ไม่เจ็บ เซ็นชื่ออย่างเดียวจบ แต่อีกอย่างที่วัดใจผมมานานแล้ว และก็พ่ายแพ้มาหลายทีแล้ว นั่นก็คือ ... การบริจาคเลือดครับ

ก็รู้นะครับว่ามันไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่ก็ผลัดไปเรื่อย อ้างโน่นอ้างนี่ สุดท้ายก็คือ " ไม่กล้า " นั่นแหละครับ แต่วันนี้ผมจะทดสอบตัวเองอีกครั้ง ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่กล้าจะไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันหนักหนากว่านี้ได้อย่างไร

หลังจากบริจาคร่างกายเรียบร้อยแล้ว จึงเดินข้ามไปยังศูนย์บริการโลหิตซึ่งอยู่อีกฝั่งถนน เหมือนมีมารผจญครับ ในใจมันบอกว่า เฮ้ย ร้อนซะขนาดนี้ เดินก็ไกล หิวก็หิว เดินกลับไปแถวสีลมดีกว่ามั้ง แต่ระหว่างที่ต่อสู้กับมารอยู่นั้น ผมก็มาถึงหน้าตึกแล้ว ตึกสวยทันสมัยทีเดียว

( อาคารศูนย์บริการโลหิต ทันสมัยกว่าที่คิดไว้เยอะ )

ในที่สุดด้านดีในใจก็ชนะครับ สำหรับมือใหม่ ก็กรอกรายละเอียด ประวัติส่วนตัวและพฤติกรรมความเสี่ยงต่อโรคให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เข้าห้องตรวจคัดกรองครับ

" ครั้งแรกใช่มั้ยคะ " เสียงหมอคนสวยทำเอาผมต้องยิ้ม ถามแบบนี้ได้ไงกันครับเขินนะครับ เสร็จแล้วคุณหมอก็ถามไปตามสเต็ปครับ ทุกอย่างก็โอเคหมดสำหรับผม แต่ไม่เห็นถามเลยว่าหิวๆแบบนี้จะบริจาคได้มั้ย ผมเลยต้องบอกไปว่า ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย เท่านั้นแหละคุณหมอก็รีบให้ไปทานซะให้เรียบร้อย เป็นอันว่าจะได้รู้ไว้ว่า ก่อนบริจาคทานข้าวไปก่อนได้ แต่ให้หลีกเลี่ยงของที่มีไขมันมากๆ

( หน้าห้องบริจาค ชั้นสอง ใจเริ่มเต้นตุบๆ ก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไรเหมือนกัน เรียกว่าตื่นเต้นดีกว่า )

ทานเสร็จเรียบร้อย ซัดไปซะพุงกางด้วยความหิว ลืมถามไปอีกว่าแล้วถ้ามันอิ่มเกินนี่จะเป็นอะไรรึเปล่า ผมขึ้นไปชั้นสองเพื่อเตรียมโดนเจาะครั้งแรกในชีวิต ความรู้สึกมันยากจะอธิบายครับจะว่ากลัวก็ไม่ใช่ คือมันตื่นเต้นเล็กน้อย ผสมกังวลหน่อยๆ คนไม่เคยนี่ครับ

และแล้วก็ถึงเวลาต้องขึ้นเตียง จุดสุดยอดมันก็อยู่ตรงที่พยาบาลหยิบเอาหัวเข็มขึ้นมาเตรียมเจาะลงไปที่เส้นเลือดปูดๆนั่นแหละครับ หัวเข็มไม่ได้เรียวแหลมอย่างเข็มฉีดยานะครับ มันเข็มดูดเลือด หัวโตกว่ากันเยอะ ไม่ทันได้ค้างความเสียวนานๆ พยาบาลมือไวก็ทิ่มทะลุผ่านเส้นเลือดไปอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงเข้มวิ่งปรู๊ดเข้าสายยางไปที่ถุงเก็บ ...

( หลังบริจาคมีบริการอาหารว่างและเครื่องดื่ม นั่งพักเย็นๆซักพักแล้วค่อยไปต่อ )

คือจริงๆ ก็ไม่ได้เจ็บอะไรหรอกครับ ผมว่าตอนที่คุณหมอใช้เข็มจิ้มปลายนิ้วเราตอนตรวจเลือดยังรู้สึกจี๊ดๆมากกว่าซะอีก แต่มันเสียวครับ คนกลัวเข็ม กลัวเลือด เกลียดโรงพยาบาลคงเข้าใจดี นอนมองเลือดตัวเองไหลลงถุงทีละน้อยๆ แล้วมือไม้มันอ่อนครับ แต่ก็เป็นอะไรทีสุดยอดจริงๆ

ใครที่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ขอแนะนำครับ ว่าถ้าได้ลองแล้ว มันก็เหมือนกับเราได้ข้ามผ่านความกลัวนั้น ตัวผมเองคิดไว้แล้วว่าถ้ามีโอกาสเหมาะๆอีกก็จะมาบริจาคอีก และส่วนใหญ่ที่เห็นก็คือบริจาคกันเป็นประจำทั้งนั้น จึงไม่แปลกใจว่าสภากาชาดหาเลือดมาให้เพียงพอกับความต้องการใช้ได้อย่างไร ก็เพราะมีคนใจบุญทั้งหลายที่มาบริจาคกันเป็นประจำเหล่านี้

( โดนเจาะเปิดซิงไปเรียบร้อยโรงเรียนแพทย์ )

เสร็จกิจกรรมช่วงเช้านี้อย่างอิ่มอกอิ่มใจ ได้บริจาคไปทั้งเลือด ทั้งตัว ทั้งหัวใจ แบบนี้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อาจพูดได้ว่าเป็นสิ่งดีที่สุดในชีวิตที่ได้เคยทำด้วยซ้ำไป ต่อไปจะโชว์ความอึดด้วยการไปเดินเบียดคน แล้วให้แดดมันเผาหัว ต่อที่ซอยละลายทรัพย์อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกครับ

( ออกมาเดินสีลมต่อ เริ่มด้วยลูกชิ้นหมูนายเม้ง ก่อนเคลื่อนทัพ )

แล้วมันก็ร้อนสมใจอยากจริงๆครับ ยังหวั่นๆว่าจะเป็นลมเป็นแล้งไประหว่างทางรึเปล่า ผมมาเดินตอนนี้ก็ราวๆ เที่ยงครึ่ง น่าจะเป็นช่วงที่คนพลุกพล่านที่สุดเพราะเป็นช่วงพักกลางวันของบรรดาคนทำงานออฟฟิศแถวนี้ นอกจากคนเยอะแล้ว คนทำงานแถวนี้น่าจะมีรายได้เฉลี่ยสูงที่สุดในประเทศไทย จึงเป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยโอกาส และกำลังซื้อ ไม่น่าแปลกใจที่เห็นร้านรวงขายทั้งของกินของใช้ มากมายพอๆกับออฟฟิศและตึกสูง

( เวลาเที่ยงกว่าๆแบบนี้ สีลมเต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศและพ่อค้าแม่ค้า )

ระหว่างที่เดินไปก็พยายามหาน้ำเย็นๆ หวานๆ ทานให้ร่างกายได้สดชื่น ก็เหมือนรู้ใจครับ โออิชิ มาเปิดตัวเครื่องดื่มอะมิโนพอดี เห็นคนต่อแถวกันยาวเหยียด แบบนี้มีแจกฟรีแหงๆ ว่าแล้วก็ไปต่อแถวรอของฟรีกับเค้าบ้างดีกว่า ระหว่างรอได้เห็นของสวยๆงามๆอีกแล้ว ... ก็เป็นซะอย่างนี้แหละนะ

( เครื่องดื่มอะมิโน โดยโออิชิ แจกฟรีแถมมีพริตตี้ให้กระชุ่มกระชวย )

และสุดยอดที่สุดของสีลมก็น่าจะเป็นซอยนี้แหละครับ " ซอยละลายทรัพย์ " เป็นแหล่งรวมสินค้าทั้งของกินของใช้ ที่ก็เน้นหนักไปทางของใช้ของผู้หญิงทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง สลับการร้านขายอาหาร ดูแล้วคึกคักมากไปจนถึงวุ่นวาย ยิ่งช่วงไพร์มไทม์แบบนี้ แทบไหลไปตามคลื่นมนุษย์ออฟฟิศ

( ดาราวิก3 พระราม4 มาโชว์ตัว ใครเป็นใครดูเอาเองครับ )

แถมวันนี้ยังมีกลุ่มดาราช่องสามมาโชว์ตัวเรียกเรตติ้ง ให้สาวๆกรี๊ดอีก ไอ้ผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร แต่ก็คุ้นหน้าอยู่หลายคน ตั้งใจมาเห็นคนเยอะๆ ในย่านการค้าที่คึกคัก ก็ได้เห็นเต็มๆไปเลยครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมว่าสินค้าที่นี่ก็ไม่ได้แปลกไปจากตลาดอื่นๆ อาจจะเกรดสูงหน่อยขายแพงหน่อย ก็เป็นสิ่งที่เหมาะกับทำเลแห่งนี้ ที่ราคาที่ดินแพงระดับชาติ และกำลังซื้อที่สูงกว่าที่อื่นๆ เป็นหน้าที่ของนักช็อปแหละครับ เพราะทุกที่ย่อมมีทั้งของถูกของแพง อยู่ที่ฝีมือแล้วล่ะครับ

( บรรยากาศรอบๆ ซอยละลายทรัพย์ เชื่อแล้วว่าทรัพย์ละลายสมชื่อ โดยเฉพาะสาวออฟฟิศ )

สมควรแก่เวลา เลยบ่ายโมงไปคนก็เริ่มซา ส่วนหนึ่งคงต้องกลับไปทำงานรอบบ่าย ผมนั่งมอไซค์รับจ้างไปที่ท่าน้ำสี่พระยา เพื่อข้ามเรือไปฝั่งคลองสานทางกลับบ้าน มาเดินแถวคลองสาน ช่วงบ่ายคนยังน้อย แต่ของน่าจะถูกกว่าซอยละลายทรัพย์เห็นๆ จึงได้รองเท้าผ้าใบมาหนึ่งคู่

( กลับมาซื้อของแถวท่าเรือคลองสานดีกว่า )

สรุปแล้วไปซอยละลายทรัพย์ กลับไม่ได้ละลายทรัพย์ ดันมาละลายแถวท่าเรือคลองสาน แต่อย่างน้อยการไปซอยละลายทรัพย์วันนี้ กลับทำให้ผมได้ทำเรื่องดีๆ ที่คงทำให้ผมสุขใจไปอีกหลายวัน

( ถึงบ้านเรียบร้อย รอยเจาะจากการบริจาคเลือดเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่เห็นแดงเป็นแถบนั่นคือเทปกาวที่แปะสำลีปิดแผลเอาไว้ ตอนลอกเทปออกดึงขนออกมายังรู้สึกเจ็บกว่าตอนบริจาคเสียอีก )

..........................................................................................

ขอบพระคุณที่ติดตามอ่าน ใครที่บริจาคเลือดเป็นประจำอยู่แล้ว ผมขอคารวะในหัวจิตหัวใจของท่าน ใครที่ยังไม่เคย ขอเชิญและขอท้านะครับ เรื่องเจ็บตัวกว่านี้หลายๆคนยังทำกันมาแล้วโดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยซ้ำ ทำเรื่องดีๆแบบนี้ เจ็บก็นิดเดียวจริงๆ บอกได้คำเดียวว่า ต้องลองครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น