วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 5 ... วันศุกร์ ช่วงเวลาแห่งการจากลา และการเริ่มต้นใหม่

และแล้วก็ล่วงเข้ามาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ จากที่เคยคิดว่าจะมาชิล ที่ไหนได้กลับต้องมาบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลูกแล้วลูกเล่า ผ่านโค้งมาจนนับไม่ถูก จะลองบวกๆ ดู เค้าบอกว่า เชียงใหม่ - ปาย 700 กว่าโค้ง ถ้าไปถึงแม่ฮ่องสอนก็ 1800 กว่าโค้ง ไม่รู้ว่าขาเดียวหรือนับไปกลับ เหนื่อยก็เหนื่อยนะ แต่สะใจ ที่ได้มาสนุกสุดเหวี่ยง ได้เห็นประเทศไทยอีกด้านหนึ่งแบบนี้

เช้านี้ต้องตื่นโดยเสียงนาฬิกาปลุก นับเป็นวันแรกที่ต้องใช้ เพราะน่าจะเป็นความเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวัน พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ผมล้างหน้าล้างตา น้ำเย็นจัดทำให้คลายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะต้องขี่จักรยานไปวัดน้ำฮู และบ้านสันติชนให้ได้ แม้จะหนาวเหน็บเพียงใด

แค่จะขยับเขยื้อนตัวยังลำบาก มือเท้าสั่นรัวไปหมด นี่มันอุณหภูมิเท่าไรกันนี่ แล้วเดี๋ยวถ้าขี่จักรยานออกไปจะรอดมั้ยเนี่ย ผมเอาเสื้อปายที่เพิ่งซื้อเมื่อวาน สวมทับกันสองชั้น ชั้นนอกสุดทับด้วยเสื้อ รด. ใส่รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ที่มาขาดหนักๆเอาที่นี่ จนเห็นนิ้วโป้งแล้ว ฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง พาทั้งรถทั้งตัวออกไปถึงหน้าถนนคนเดินยามเช้า ที่ยังคงเงียบสงัด เพราะยังเช้าอยู่มาก

มองหาร้านน้ำเต้าหู้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆอะไรสักอย่างก็ไม่มี ถ้าได้น้ำร้อนๆซักแก้วคงทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นเยอะ ผมขี่จักรยานออกเมืองไปเรื่อยๆ ลมเริ่มตีหนักขึ้นๆ มือเย็นจนชาแทบจะจับแฮนด์จักรยานไม่อยู่แล้ว ได้แต่ตั้งตาคอยให้แสงแดดมาช่วยให้อุ่นขึ้น

ขี่ไปซักพัก ร่างกายเริ่มได้ออกแรง แถมเริ่มมีแสงแดดมาช่วย อาการหนาวสั่นเริ่มคลายตัว ธรรมชาติรอบข้างก็เป็นใจเหลือเกิน ตลอดทางที่มุ่งหน้าไป เป็นทางชันขึ้นที่สูง แม้จะไม่ถึงขั้นขึ้นเนิน แต่ก็รู้ได้ว่ากำลังปั่นขึ้นที่สูงไปเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวคงยังหลับไหล ไม่มีรถใหญ่วิ่งสวนผม มีเพียงมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้าน ที่ขับไปจับจ่ายซื้อของ หรือไม่ก็ไปส่งลูกไปโรงเรียน สวนมาเป็นระยะๆ บางช่วงเหมือนมีเพียงผม กับธรรมชาติปายโอบล้อมอยู่ นี่แหละครับที่ผมใฝ่ฝันอยากมาสัมผัสที่นี่ อยากให้ธรรมชาติแบบนี้ เป็นสิ่งเชื้อเชิญผู้คนให้มาที่นี่ นอกเหนือจากรีสอร์ทสวยๆ ถนนคนเดิน และคอฟฟี่อินเลิฟ

ผ่านไปชั่วโมงกว่า ความหนาวหาย เริ่มกลายเป็นความร้อน แม้จะมีลมเย็น แต่แดดก็แรงไม่น้อยหน้าเช่นกัน แถมด้วยการเผาผลาญพลังงานกลายเป็นเหงื่อผุดๆ ผมมองในแผนที่อีกครั้งแล้วกะว่าน่าจะถึงแล้ว แต่ไหนมันยังไม่ถึงซะที ทำไม 3 กิโลเวลาขึ้นเนินที่มันต่างจาก 3 กิโลบนพื้นราบซะจริง

ก่อนที่จะหวั่นไหว จนต้องวกกลับ ด้วยเวลาที่จำกัด เพราะต้องเผื่อเวลากลับมาอาบน้ำ ก่อนจะขึ้นกลับเชียงใหม่ 10.30 น. ด้วย จุดหมายปลายทางก็พลันปรากฎตรงหน้า วัดน้ำฮูที่เป็นจุดหมายหลักจุดหนึ่งของนักท่องเที่ยว ผมเข้าไปสักการะ และเก็บภาพได้เพียงไม่นาน เพราะยังเหลืออีกหนึ่งจุดคือ หมู่บ้านสันติชน ที่กะว่าจะไปชิมอาหารจีนยูนานที่นั่นด้วย

กัดฟันปั่นจักรไปอีก 10 นาที ก็ถึงที่หมายแล้ว หมู่บ้านสันติชน แหล่งพักอาศัยของชาวจีนยูนานที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย บ้านช่องดูคล้ายกับหมู่บ้านรักไทย แต่ผมว่าหมู่บ้านรักไทยสวยกว่า ด้วยภูมิประเทศที่นั่นเอื้ออำนวย มีทะเลสาบล้อมรอบด้วยขุนเขา

ผมถ่ายรูปรอบๆ และตรงเข้าร้านอาหาร น่าจะเป็นลูกค้ารายแรกของร้านในวันนี้ ใจก็อยากจะกินเซ็ดใหญ่ อย่างที่กินเมื่อวาน แต่มาคนเดียวคงไม่ไหว เลยต้องขอเป็นอาหารจานเดียวง่ายๆ อย่างก๋วยเตี๋ยวยูนาน ที่เป็นเส้นบะหมี่หนาๆ ราดน้ำซุปใส โปะด้วยผักยอดลันเตา บนสุดเป็นน้ำราดคล้ายน้ำพริกอ่องหมูสับ กลมกล่อมบอกไม่ถูก มีโอกาสต้องชิมเองครับ สำหรับผมซัดเกลี้ยงชามครับ

สำเร็จดั่งตั้งใจไว้แล้วก็ถึงเวลากลับที่พักเพื่ออาบน้ำเตรียมกลับเชียงใหม่แล้ว ทางลงสบายกว่ากันเยอะ จากที่ขับขึ้นมา 4 กิโลใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ขากลับไหลลงเนินมาไม่ได้แต่ขาถีบจักรเลยใช้เวลาแค่ 15 นาที สบายดีแท้ พอเข้าถนนคนเดินอีกครั้งเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง

จำน้องๆ สามคนที่ขึ้นดอยอินทนนท์ด้วยกันได้มั้ยครับ แนะให้ผมมาปาย แล้วมาเจอกันที่ปาย ก็แนะให้ผมไปปางอุ๋งอีก เจอกันหลายรอบแล้ว รู้สึกถูกชะตา เป็นน้องๆที่น่าคบดี แต่ก็ไม่ได้ขออะไรติดต่อกันไว้ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่มันก็ได้เจอกันอีกเรื่อยๆ ยิ่งมาตอนนี้มาเจอกันโดยบังเอิญสุดๆแบบนี้ พอดีว่าน้องเพิ่งกลับจากห้วยน้ำดัง ลงรถตู้มาพอดี กับที่ผมขี่จักรยานผ่านมาพอดี

แปลกดีนะครับ ว่าที่เจอกันครั้งแล้วครั้งเล่าโดยบังเอิญนั้น โดยที่ไม่ได้ของอะไรที่ติดต่อกันได้ไว้ และก็คิดในใจหลายรอบแล้วว่า ถ้าครั้งหน้าเจออีกจะต้องขออะไรไว้บ้าง เผื่อกลับถึงกรุงเทพแล้วก็ยังได้คุยกันอีก เมื่อวานตอนลากันก็คิดแบบนี้ ครั้งนี้ผมเลยไม่พลาดแล้ว

การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะได้พักผ่อนหย่อนใจ ได้ตื่นเต้นสะใจ เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้แล้ว ที่สำคัญที่รู้สึกได้เหมือนกำไรชีวิต นั่นคือมิตรภาพใหม่ๆ เพื่อนร่วมทางดีๆ ที่ผมได้เจอทั้ง 3 กลุ่ม มันทำให้ผมรู้สึกอิ่มกำลังดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะน้องๆกลุ่มแรกนี้ ที่เติมเต็มทริปของพี่ได้สมบูรณ์ ตั้งแต่วันแรกที่พี่เดินทางมาคนเดียว ได้ขึ้นดอยอินทนนท์สมใจ ส่งต่อให้พี่มาปาย และปางอุ๋ง ไม่มีน้องๆ จะสนุกขนาดนี้มั้ยเนี่ย .... น้องๆ มาอ่านแล้วก็รับคำขอบคุณของพี่ไปนะ

ได้เวลาจากลาปายแล้ว ใครจะบอกว่าปายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ตามแต่ใจเถิด ยังไม่มาก็อยากให้มา มาแล้วไม่ชอบที่อื่นในประเทศไทยก็ยังมีอีกตั้งมาก มาบ่อยๆ แล้วเบื่อแล้ว ก็เปลี่ยนไปที่อื่นบ้าง มาแล้วชอบอยากมาบ่อยๆก็มา แต่อยากให้คนที่มา มาด้วยความรัก มาแล้วมีความสุขทุกคนอย่างผมนะครับ

ขากลับผมจองมินิบัสแอร์ไว้ตั้งแต่วันมาแล้ว คาดว่าจะสบายกว่าเดิมแน่ๆ รถก็ใหม่กว่า น่าจะปลอดภัยกว่า ปลอดภัยจริง และก็น่าจะสบายกว่านี้ ถ้าคนข้างๆ ไม่ใช่ซิ้มแก่ๆ ที่ไม่ค่อยมีมารยาท หาว บ่น ถอนหายใจดังๆ ด้วยความหงุดหงิดตลอดเวลา ด้วยแกคงรำคาญฝรั่งข้างหลังที่คุยกันตลอดเวลา มาปายครั้งนี้เพิ่งเจอคนอารมณ์ไม่ดีคนแรกก็คนนี้

พูดถึงฝรั่งที่นั่งด้านหลังแล้ว ผมก็นั่งฟังเค้าคุยกันอยู่ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เก่งอังกฤษมากมาย แต่ด้วยฝรั่งผู้ชายเป็นชาวอังกฤษวัยกลางคน พูดชัดถ้อยชัดคำมากๆ อย่างกับครูสอนภาษา ส่วนผู้หญิงเป็นสาวสวยชาวฝรั่งเศษ หุ่นดีมากๆ ไม่รู้ว่าเป็นนางแบบรึเปล่า มาเจอกันครั้งแรกบนรถนี่แหละ ฝ่ายชายไม่รู้จีบหรือเปล่า แต่ก็ชวนคุยอยู่ตลอด แล้วเค้าก็เล่าประสบการณ์การเที่ยวแบ็คแพ็ค แบบนี้ ที่มีมากว่า 30 ปีแล้ว เที่ยวเมืองไทยมาตั้งแต่ภูเก็ตมีบังกะโลว์อยู่ไม่กี่แห่ง มีแฟนคนไทยมาแล้วก็หลายคน รู้จักเมืองไทย ดีพอๆ กับคนไทยด้วยซ้ำ

ประโยคหนึ่งที่ผมฟังแล้วเห็นด้วย คือที่ฝ่ายชายพูดว่า กฎของการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ก็คือการเปิดใจ ยอมรับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ แต่ละที่ก็แตกต่างกันไป ยอมรับมิตรภาพใหม่ ที่ทำให้เรารู้จักผู้คนมากขึ้น ใช่แล้วคิดอยู่นานว่าจะสรุปการเดินทางนี้อย่างไร ฝรั่งสรุปให้เรียบร้อยแล้ว

ถึงเชียงใหม่แบบมึนๆ เพราะอาซิ้มข้างๆแท้ๆเลย ผมหาจุดหมายต่อไปในเชียงใหม่เพราะยังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควร ก่อนจะขึ้นรถกลับกรุงเทพรอบ 3 ทุ่ม ผมเลือกเอากลางเมืองเชียงใหม่ ไปสักการะวัดพระสิงห์ และหาอะไรกินแถวนั้น บ่ายสองกว่าแล้ว เชียงใหม่แดดร้อนมากมาย กินเสร็จรีบเข้าอุโบสถวัดพระสิงห์ เย็นกายเย็นใจดีแท้

ผมนั่งพักกายพักใจในอุโบสถ นอกจากจะได้ความสบายใจแล้ว ยังได้สังเกตพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ มีทั้งฝรั่งทั้งคนเอเชียโดยเฉพาะญี่ปุ่น ผมว่ามีมากสุด คนเอเชียโดยมากจะรู้หลักปฎิบัติในการมาวัดอยู่แล้ว ฝรั่งส่วนใหญ่แม้ไม่รู้แต่ก็สำรวมพอสมควร แต่มีฝรั่งคนหนึ่งที่ผมแทบอดรนทนไม่ไหว

ภายในอุโบสถเพิ่งจะประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งพระราชทาน เป็นหุ่นเหมือนจริงของเจ้าอาวาสองค์ก่อน อยู่บนโต๊ะหมู่ด้านหน้า ที่ไม่มีอะไรปิดล้อม คือถ้าใครคิดอยากจะจับต้องก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็จะไม่ทำแบบนั้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนไทย คนเอเชีย ที่รู้กาลเทศะดี

แต่ก็มีฝรั่งนายหนึ่งเล่นพิเรนทร์จนได้ เค้าคงสงสัยใคร่รู้ว่า หุ่นทำจากอะไรถึงได้เหมือนจริงได้ขนาดนี้ ทั้งเส้นผม ทั้งผิวหนัง จึงลองเข้าไปจับๆ แตะ ๆ พอทำแล้วไม่มีใครมาว่า มีเพียงเด็กวัดยื่นป้ายที่เขียนเป็นภาษาไทยอย่างเดียวไว้ให้ดูว่า ห้ามจับเป็นอันขาด ฝรั่งก็เหมือนได้ใจ คราวถึงขั้นลูบศีรษะและดึงผม ผมเริ่มจะทนไม่ได้ ว่าจะเป็นเข้าไปห้ามแล้ว แต่ก็พยายามข่มใจแล้วรอดูอีกนิด คือถ้าทำอีกครั้งคงไม่ยอมแล้ว

ฝรั่งคนเดิมยืนด้อมๆ มองๆ พูดกับเพื่อนที่มาด้วยกันอีกสักพักแล้วก็เดินจากไป อย่างสนุกสนาน อเมซิ่งไทยแลนด์ หุ่นขี้ผี้งเราเจ๋งกว่ามาดามฟุซโซซะอีก ผมนึกออกแล้วว่าปัญหามันเกิดจากป้ายที่ติดไว้ว่าห้ามจับมีแต่ภาษาไทย แหมคนทำทำไมไม่คิดว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติในเชียงใหม่เยอะกว่าคนไทยซะอีก ผมเลยไปขออาสากับหลวงพี่ที่สวดมนต์ให้พรในอุโบสถ ทำป้ายชั่วคราวไว้ให้ อย่างน้อยก็กันไว้ได้จนกว่า ทางวัดจะทำป้ายใหม่สวยๆ อย่างถาวร

อาสามาแล้วก็ยังงงว่า แล้วจะเอาอะไรเขียนเนี่ย เพิ่งลงเขามา ทั้งเป้ก็มีแต่กระดาษตั๋วโดยสาร ปากกาเมจิก็ไม่มี ผมเดินลงมากะว่าจะมาหาซื้อ แต่จะไปซื้อที่ไหนเนี่ย แถวนี้จะมีร้านเครื่องเขียนหรือ อธิษฐานในใจว่า ถ้าอยากให้ผมเขียน ก็ขอให้ท่านช่วยด้วยแล้วกัน ปาฎิหารย์มั้ยไม่ทราบได้แต่ลงมาเจอกับ นักเรียนสงฆ์ กำลังจัดนิทรรศการกันอยู่ข้างๆ วัด นั่นไงจัดบอร์ดกันอยู่ ต้องมีกระดาษดีๆ ปากกาเมจิแน่ๆ

แล้วก็ไม่ผิดหวัง ผมได้รับการอนุเคราะห์ จากกลุ่มนักเรียนและครูจากแม่ฮ่องสอนที่ๆผมเพิ่งกลับมาพอดี ชื่นใจที่เวลาคิดจะทำดีแล้วไม่มีอะไรติดขัด มีคนช่วยเหลือแบบนี้ และผลงานผมก็ขออนุญาตเก็บภาพไว้เตือนใจ ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้ทำหน้าที่พุทธศาสนิกชนแบบนี้

สี่โมงกว่าๆ แล้วเวลาก็ยังเหลืออยู่มากมายอยู่ดี อยากหาที่เย็นๆ พักสักหน่อย ก็นึกถึงเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว ไปเดินที่นั่นเย็นๆ หาข้าวเย็นกินด้วยดีกว่า มาถึงแล้วก็ไม่ผิดหวัง ของกินเพียบ มีร้านอาหารพื้นเมืองขายอยู่หน้าห้าง ตั้งแต่แดดร่มลมตกเรื่อยไปจนถึงช่วงค่ำ ได้เห็นคนเชียงใหม่แท้ๆ มาจับจ่ายซื้อของ หลังเลิกเรียน เลิกงาน

ทานอาหารพื้นเมืองราคาย่อมเยา พร้อมฟังเพลงขับกล่อม จากวงดนตรีสุดพิเศษ เป็นวงคนตาบอด ที่ตั้งกล่องรับบริจาคไว้ เขียนหน้ากล่องไว้ว่า เป็นเพียงอาชีพเดียวที่พวกเราพอจะทำได้ เท่าที่เห็น มีคนบริจาคมากพอสมควร ส่วนหนึ่งมาจากสงสารเห็นใจ ส่วนหนึ่งผมว่าถูกใจเสียงร้องและฝีมือที่ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องดนตรีราคาแพง ประทับใจตรงมือกลอง ที่ใช้เพียงถังสีคว่ำลงกับพื้น ใช้ไม้พันผ้าแล้วตีเหมือนกระเดื่อง แต่ฟังเหมือนกลองจริงแท้ๆ

การเดินทางของผมครั้งนี้ดูเหมือนอะไรๆ ก็เป็นใจ จนหยดสุดท้าย ได้เจอคนดีๆ ได้เจอเรื่องดีๆ ที่ผมว่าหากมาช้าหรือเร็วกว่าจะยังเจอเรื่องดีๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า ถึงเวลาที่ต้องอำลาเมืองเหนือแล้ว สิ่งที่ทิ้งไว้คือ ความผิดหวังในอดีตที่ผมทิ้งไปที่ปายพร้อมกับรองเท้าผ้าใบเก่าๆคู่นั้น สิ่งที่เก็บกลับมาก็คือความรู้สึกดีๆ พลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป ตั้งใจว่าจะเป็นคนดีที่สุด ทำดีที่สุดในทุกๆเรื่องเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ลาก่อน เชียงใหม่ ลาก่อนปาย ปางอุ๋ง และแม่ฮ่องสอน ซักวันเราจะพบกันอีก

............

ผมกลับกรุงเทพด้วยรถวีไอพีแสนสบาย และหลับฝันดีมาตลอดทาง... ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

..........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น