วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 3 ... วันพุธ ปาย อิน เลิฟ

แม้จะตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือไว้ที่ตี 5 ครึ่ง กะว่าอาบน้ำ เก็บข้าวของใส่กระเป๋า ครึ่งชั่วโมง ลงมาเช็คเอ้าท์ ก็น่าจะหกโมงกว่าๆ นั่งไปถึงขนส่งอาเขตก็น่าจะเกือบเจ็ดโมงเช้าพอดี แต่ด้วยความตื่นเต้นหรือไงไม่ทราบ ดันทะลึ่งตื่นมาตั้งแต่ยังไม่ตีสี่ แล้วก็นอนไม่หลับอีกเลย เลยได้ดูความบู่ของลิเวอร์พูลอีกนัดที่ทำได้แค่บุกไปเสมอกับวูลฟ์แบบไร้สกอร์ สะใจก่อนเดินทางไกลดีแท้

ออกมายังฟ้ามืดๆ จนถึงขนส่งแล้วก็ยังไม่สว่างซักที ผมจองรถเที่ยวแรก 7 โมงเช้า เป็นรถบัสธรรมดาสภาพเก่ามาก ข้างหน้าที่ต่อคิวจองแถวเดียวกัน เป็นคุณลุงคนหนึ่งที่ดูน่าจะเป็นคนในพื้นที่ บอกกับคนจำหน่ายตั๋วว่า ของนั่งริมหน้าต่างๆ ด้านหน้า

ผมถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมต้องนั่งตรงนั้น แล้วก็ได้คำตอบที่ทำให้เริ่มหวั่นๆ ว่า นั่งตรงนั้นเมาน้อยหน่อย ไม่ไหวลุงแก่แล้ว นี่ขนาดเคยขับรถผ่านแถวนั้นบ่อยๆ ยังเอาไม่อยู่เลย เอาล่ะสิครับเล่นขู่กันแบบนี้ จากที่เคยมั่นใจว่าไม่ใช่คนที่เมารถง่ายๆ ก็เริ่มเดินไปหาซื้อยาแก้เมารถ ที่ร้านน้ำข้างๆ พกติดตัวไว้ก่อนดีกว่า

กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ไม่เน้นอิ่มนัก เพราะได้ยินมาเยอะว่า ไปปายไม่หลับก็อ้วก กลัวจะเลอะเทอะ เลยเตรียมถุงพลาสติกไปด้วย ได้เวลาขึ้นรถ ยิ่งรู้สึกหวั่น เพราะคนค่อนข้างแน่น และส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านทั้งนั้น มากับสัมภาระมากมาย แต่โชคดีซะจริงที่ผมได้นั่งคนเดียวสองเบาะอีกแล้ว

แต่ยังไม่ทันจะไปถึงไหน แค่หน้าขนส่ง ก็เป็นเรื่องซะแล้ว เสียงโครมใหญ่ๆ ทำเอาคนบนรถตกใจ เด็กรถ และคนขับลงไปดูสักพักก็ขึ้นมาบอกว่า ต้องเปลี่ยนรถนะ เพลาหัก ... หลากหลายอารมณ์เกิดขึ้นพร้อมกันทันที บ้างก็หงุดหงิดที่เสียเวลา บ้างก็โล่งใจที่ยังโชคดีไม่ไปหักบนเขา ผมเป็นอย่างหลังมากกว่า

รถคันอื่นๆ ที่ไปปายเหมือนกันค่อยๆ ผ่านหน้าพวกเราไปทีละคันๆ รอเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ได้รถคันใหม่มาเปลี่ยน แต่เสียงเครื่องและสภาพภายนอก ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมซะเท่าไร แต่เชื่อในฝีมือคนขับครับ น่าจะเอาอยู่

นั่งมาสักพักก็ถึงทางขี้นเขา ที่ใครกลัวกันนักหนา แต่พอได้นั่งจริงๆแล้ว ผมขอบอกให้คนที่ยังไม่ได้ไปเลิกกลัวได้เลย อากาศดีๆ กับวิวทิวทัศน์สวยๆ ข้างทาง มันทำให้ลืมความคดเคี้ยวของถนนไปได้เป็นปลิดทิ้ง ยิ่งนั่งก็ยิ่งรู้สึกหลงใหล ไปกับเส้นทางนี้ ตลอดการเส้นทาง มีคนอ้วกอยู่คนเดียวนั่นคือเด็กเล็ก สาม สี่ขวบ ที่เหลือก็ส่วนใหญ่จะหลับกันสบาย ส่วนผมขอซึมซับบรรยากาศไว้ตลอดการเดินทาง 4 ชั่วโมง

ถึงปายอย่างปลอดภัย ภารกิจต่อไปคือต้องหาที่พักซะก่อน เที่ยงๆแบบนี้ปายก็ร้อน แดดแรงเหมือนกัน ผมพอจะศึกษาเส้นทางมาบ้าง จุดแรกกะว่าจะลองไปถามดูที่พักแถวริมแม่น้ำปาย แต่ถามดูหลายที่ บางที่ก็เต็ม ทั้งๆที่เป็นวันธรรมดา บางที่ก็แพงเกินงบ เลยกลับมาหาแถวถนนคนเดินดีกว่า น่าจะถูก และก็เดินเที่ยวกลางคืนก็สะดวก

แล้วก็ถูกใจที่พักแห่งหนึ่งที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่ก็ดูสวย สะอาดตาดี เจ้าของก็ดูใจดีพาเข้าไปชมห้องก่อนตัดสินใจ แน่นอนว่าห้องน่ะถูกใจผมแน่ แต่ต้องดูราคาก่อน พอป้าเจ้าของบอกราคามาก็โอเคทันที เพราะย่อมเยาสมเหตุสมผล ใครสนใจก็ลองโทรสอบถามดูนะครับ บ้านสวนรีสอร์ท 083 - 3217382

อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็บ่ายกว่าๆ แดดยังแรง ไม่น่ารีบออกไปไหน ว่าแล้วก็นอนเอาแรงซักงีบ ตื่นขึ้นมาเกือบบ่ายสาม ได้เวลาตะลุยเมืองปายต่อแล้ว ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่จะนิยมเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ชมทิวทัศน์รอบๆเมือง แต่ผมไม่ถนัดมอเตอร์ไซค์นัก เลยขอเป็นจักรยานดีกว่า ใช้พลังงานเราไม่ปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์อีกต่างหาก มาเที่ยวแล้วก็ไม่อยากจะทำให้บรรยายกาศดีๆของที่นี่เปลี่ยนแปลงไป

จากจุดที่พักแถวๆ ถนนคนเดิน ที่เหมือนจะเป็นศูนย์กลางความเจริญของเมือง ที่เต็มไปด้วยรีสอร์ท เกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหาร ไปจนถึงร้านเหล้า ที่ดูเหมือนจะยกถนนข้าวสารเอามาไว้ที่ปาย ผมได้ฟังคำบอกเล่าจากหลายๆคน ว่าปายเปลี่ยนไปแล้ว อย่างนั้นอย่างนี้ จนไม่เหลือภาพชีวิตเดิมๆ ของชาวบ้านแล้ว ถ้ามองจากโดยรอบถนนคนเดินแห่งนี้ ก็เห็นจะจริงอย่างคำบอกเล่า แม้จะไม่เคยมาเห็นสภาพก่อนหน้านี้ ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ก็คงต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ บางครั้งที่เราอยากจะได้อะไรมา ก็ต้องยอมสูญเสียอะไรไปบ้างเหมือนกัน

แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดของเมืองนี้ ผมขอนั่งยันนอนยันว่า ปาย ยังมีส่วนที่เป็นธรรมชาติจริงๆ อยู่รอให้คนที่อยากสัมผัสธรรมชาติได้ไปดื่มด่ำ ใครไม่ชอบความวุ่นวายแถวๆ ใจกลางเมือง ก็ลองออกมาไกลอีกซักนิด ผมลองปั่นจักรยานออกไปไกลที่สุดเท่าที่จะปั่นไหว และมีเวลาเหลืออยู่ 3 - 4 ชั่วโมงก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า แล้วการขี่จักรยานคงจะเป็นเรื่องอันตรายเกิน

ได้เห็นชาวบ้านแท้ๆ ในตลาดหน้าเทศบาล ไกลออกไปอีกหน่อยก็ยังมีทุ่งนาให้เห็น บริเวณเขตบ้านแม่ฮี้ ก็ยังมีทีพักแบบโฮมสเตย์อยู่แบบชาวบ้านแท้ๆ ราคาก็แสนถูกไว้รองรับคนที่ชอบแนวนี้ เพียงแต่ว่า วันนี้ปายในกระแส ที่ผมได้ยินได้ฟังก่อนไปนั้น มันคือ ถนนคนเดิน คอฟฟี่อินเลิฟ แล้วก็รีสอร์ทหรูๆ ริมน้ำปาย มันคงไม่ผิดอีกเช่นกันถ้าใครคิดจะไปปายเพราะสิ่งเหล่านี้ เพราะอย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น สร้างอาชีพให้กับอีกหลายๆคน

ไม่ได้ขี่จักรยานมานาน แถมยังขี่หลงไปหลงมา เพราะสัดส่วนในแผนที่มันดูยากเหลือเกิน ส่วนใหญ่จะขี่เลยเป้าหมาย สองชั่วโมงผ่านไปเริ่มจะเจ็บโคนขาหนีบซะแล้ว น่าจะหาทางกลับได้แล้วก่อนจะหมดแสง และก็จะได้เตรียมตัวไปเดินชิลๆ บนถนนคนเดินอันโด่งดัง

แล้วก็มาถึงเวอร์ชั่นแสงสีของปาย หลังพระอาทิตย์ตก พ่อค้าแม่ขายก็เริ่มเอาของออกมาวางเรียงรายตามถนน อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ คืนนี้คงถึงขั้นหนาวแน่ สินค้ากระจุกกระจิกทำมือที่แปะยี่ห้อปายถูกนำมาอวดสายตา ที่เยอะสุดน่าจะเป็นเสื้อปาย กลายเป็นของที่ระลึกภาคบังคับของคนที่มาเที่ยวที่นี่ไปแล้ว

ภาพถ่ายผมว่าน่าจะเป็นหลักแสนหลักล้านภาพที่ถูกเก็บไปกับกล้องของนักท่องเที่ยว เป็นตัวช่วยเผยแพร่สีสันของเมืองนี้ ทวีความดังขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับผมเอง หลังจากที่ได้สัมผัสแล้ว ผมรู้สึกดีกับเมืองที่มีความหลากหลายเมืองนี้ ชอบที่ยังมีธรรมชาติดีๆอยู่ คู่กับสีสันยามค่ำคืน บางคนบอกว่าปายไม่มีอะไร ผมว่าปายมีคนที่น่ารัก คนที่มาทำตัวสบายๆ ปล่อยใจไปกับความชิลของเมืองนี้

เดินไปเดินมาก็ได้เจอกับตำรวจที่เก็บภาพไว้เมื่อเย็นอีกครั้ง ช่วงเวลางานก็ปฎิบัติหน้าที่อย่างตั้งใจ แถมยังมีลีลาในการโบกรถเป็นจุดเด่น พอตกเย็นค่ำๆ แบบนี้ก็มารับจ๊อบพิเศษร้องเพลงและรับบริจาคให้กับเด็กด้อยโอกาส มีตำรวจดีๆแบบนี้ที่ปายด้วยครับ

ถนนคนเดินที่ปายจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ เมื่อเทียบกับเมืองเล็กๆแห่งนี้ จะว่าเล็กก็เล็ก เพราะเดินไปเดินมาก็จะเจอคนรู้จัก เจอคนหน้าเดิมๆ บ่อยครั้ง ผมเจอฝรั่งที่ได้เจอกันวันแรกที่ดอยอินทนนท์ เจอแล้วเจออีก และสุดท้ายก็ได้เจอน้องๆ ที่ขึ้นดอยอินทนนท์ด้วยกันจนได้ ทักทายกันอย่างกับรู้จักกันมานาน เล่าสู่กันฟังว่าใครไปที่ไหนกันมา มานี่ได้ยังไง พี่จะบอกว่า ถ้าน้องไม่มากระตุ้นต่อมอยากของพี่ป่านนี้คงนอนขี้เกียจอยู่ที่โรงแรมในเชียงใหม่ ขอบใจน้องๆอีกครั้ง ที่ทำให้ได้มาสัมผัสประสบการณ์ดีๆที่ปายนี้

น้องๆ ยังไม่หยุดกระตุ้นต่อมอยาก บอกว่าให้ไปห้วยน้ำดังด้วยกัน เอ่อ แต่ว่าจะให้ขับมอไซค์ไปนั้น พี่ว่าไม่เวิร์ค อันตรายเกิน คุยไปคุยมาน้องๆเลยแนะว่าให้ไปเที่ยวปางอุ๋งสิพี่ ผมก็เคยได้ยินได้เห็นรูปมาบ้างก็รู้ว่ามันสวยมาก แต่แบบว่า พรุ่งนี้จัดโปรแกรมไว้แล้วว่าจะขี่จักรยานไปรอบเมืองอีกครั้ง คราวนี้จะเอารอบใหญ่เลย และก็จะไปปางอุ๋งนี่รู้มาว่ามันก็ไม่ได้ใกล้ๆ นั่งรถขึ้นเขาลงเขาไปอีกสองสามชั่วโมง เลยบอกน้องๆไปว่าพี่แก่แล้ว ขอแบบชิลๆ ในปายแบบนี้ดีกว่า ส่วนน้องๆ ก็จะไปค้างที่ห้วยน้ำดังคืนพรุ่งนี้ แล้วเราก็แยกกันอีกครั้ง โดยก็ยังไม่ได้ขออะไรติดต่อไว้ เดินจากมาก็รู้สึกเสียดายมิตรภาพดีๆแบบนี้เหมือนกัน หากว่าไม่ได้เจอกันอีก มันก็จะอยู่ในความประทับใจในการเดินทางของผมครั้งนี้ตลอดไป

ระหว่างเดินกลับที่พัก ก็ได้เห็นร้านขายทัวร์ร้านหนึ่ง เขียนป้ายไว้ว่า ไปปางอุ๋งพรุ่งนี้ วันเดียวก็เที่ยวได้ เอาแล้วมั้ยล่ะ เหมือนมีแรงดึงดูด ผมเดินเข้าไปถามว่าไปได้จริงหรือ ไปได้สิแต่ต้องออกตีสี่ถึงจะเที่ยวได้ทั่ว ตื่นเช้าไม่เป็นปัญหาของผม ค่ารถตู้ก็ไม่แพงนัก สนนราคา 500 บาทต่อคน ผมคิดไม่นานนักก็ตกลงปลงใจ ดูใจง่ายซะจริง แล้วก็รีบกลับที่พักด่วน เพราะจะได้นอนเยอะหน่อยก่อนที่จะตื่นตีสี่เช้าวันพรุ่งนี้

การไปคนเดียวครั้งนี้ ดูเหมือนจะต้องเสี่ยงทายเพื่อนร่วมทางอีกครั้งในเช้าพรุ่งนี้ ผ่านมาสองทริปสิ่งที่ทำให้ประทับใจไม่น้อยก็คือเพื่อนร่วมทางดีๆ ผมว่าโชคเข้าข้างผมแบบนี้ พรุ่งนี้คงได้เจอกลุ่มดีๆ สนุกๆแน่ๆ สำหรับคืนนี้ต้องขอนอนเอาแรงก่อน เห็นโปรแกรมแล้วพรุ่งนี้เหนื่อยแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น