วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 1 ... วันจันทร์ ที่จุดสูงสุดแดนสยาม

หลังจากผ่านปีที่เหนื่อยล้า ปีที่เจอปัญหารุมเข้ามามาก เครียดแล้วเครียดอีก ท้อแล้วท้ออีก แต่ก็ค่อยๆ แก้ทีละปัญหา ประคับประคองจนผ่านมาได้ ขึ้นปีใหม่มานี้ อะไรๆก็ดูเป็นใจมากขึ้น กำลังใจเริ่มกลับมาอีกครั้ง

ผมทยอยสะสางงานที่ยังค้างคา จนได้เวลาว่างเหมาะๆ ได้ 5 วันเต็มๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวแบบชิลๆ ที่เชียงใหม่ทั้ง 5 วัน ใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องรีบร้อน ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่ เพราะครั้งสุดท้ายที่ไปมันก็สิบกว่าปีผ่านมาแล้ว ความทรงจำที่เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ได้นั่งรถไฟไปกับพ่อน่าจะเป็นช่วงที่รถไฟสปรินเตอร์ยังใหม่ๆอยู่

ผมได้บอกกับเพื่อนๆ ว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่คนเดียว เสียงตอบรับร้อยทั้งร้อยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ว่าเพื่อนเราเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย ผมก็บอกไปว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ก็แค่อยากไปพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศแค่นั้น แล้วบังเอิญว่าคุณๆ ก็มีลูกเมีย มีการงานต้องทำ แล้วใครจะว่างไปกับผม จะรอให้ว่างแล้วไปพร้อมกัน ป่านนั้นคงหมดอารมณ์แล้ว และไปครั้งนี้ก็ไม่ได้วางโปรแกรมอะไรเป๊ะๆ คือคิดเพียงว่า ณ ขณะนั้น ถ้าอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป แค่ปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ แบบนี้ถ้าไปกับคนอื่นเกรงว่าจะไม่ได้อย่างใจ

สืบค้นข้อมูลมาได้หลายอย่าง พอจะเห็นจุดหมายคร่าวๆ ส่วนใหญ่แล้วก็คงตระเวนกินเที่ยวอยู่ในเมือง เพราะเจตนาคือตั้งใจไปชิล แต่ถ้าไปแล้วไม่ขึ้นดอยสุเทพก็คงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะรวมเอาดอยอินทนนท์ไปอีกซักหนึ่งที่ พอเห็นโปรแกรมแล้วก็เริ่มหวั่นๆ ว่าตกลงจะชิล หรือจะลุยกันแน่ ส่วนการเดินทาง จากทีแรกที่ลังเลว่าจะเป็นรถไฟ หรือจะเป็นรถทัวร์ดี ก็ตกลงปลงใจที่รถทัวร์ ด้วยเงื่อนไขเวลา และมีที่นั่งเหลือเฟือ สำหรับการเที่ยววันธรรมดาแบบนี้

พอยิ่งมีข้อมูลเยอะ แผนการเดินทางก็เริ่มจะซับซ้อน ผมตัดสินใจเลือกรถทัวร์ที่จะไปดอยเต่า - จอมทอง เดินทางค่ำวันอาทิตย์ แล้วต่อรถสองแถวขึ้นดอยอินทนนท์ จากท่ารถ อ.จอมทอง เช้าวันจันทร์ซะเลย ไม่เลือกไปลงเชียงใหม่ เพราะจะต้องนั่งรถย้อนกลับมา อ.จอมทอง อีก 2 ชั่วโมง การเดินทางครั้งนี้ผมลองเลือกนั่งรถชั้นสอง เพราะอยากลอง ว่าที่มันถูกกว่า มันเป็นชั้นสองนั้น จะต่างกันแค่ว่าเบาะที่นั่งเล็กกว่า หรือแค่ว่ามันไม่มีห้องน้ำบนรถแค่นั้น

พอขึ้นรถ ก็ดีใจเหมือนถูกเลขท้ายสองตัว ที่ว่ารถมันไม่เต็ม ผมได้นั่งควบสองเบาะ พร้อมกับนึกสะใจที่จ่ายถูกแถมได้นั่งๆนอนๆ อย่างกับรถวีไอพี แต่สวรรค์ของผมมันก็พังลงในชั่วโมงถัดมา

ก็พี่ทั่นเล่นจอดรับส่งผู้โดยสารมันทุกป้าย ไล่ตั้งแต่ออกจากหมอชิต จอดรังสิต นวนคร อยุธยา เรื่อยไปถึง นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก อ. เถิน อ. ลี้ ข้ามเขาเข้าไปเชียงใหม่ ที่ อ. จอมทอง ประมาณว่า จอด เปิดไฟ ผู้โดยสารขึ้นลงแทบทุกชั่วโมง และเต็มทุกที่นั่ง อย่าว่าแต่จะได้งีบเลยครับ จะนั่งให้สบายสักหน่อยยังยาก ผมออกเดินทาง 19.30 น. ถึง อ.จอมทอง ก็ 7.30 วันรุ่งขึ้น ทรมานดีครับ แต่ก็สนุกที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ขากลับตั้งใจไว้แล้วว่าขอเป็นวีไอพีจะดีกว่า

ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่เมื่อยเล็กน้อยเพราะต้องนั่งตัวลีบมาตลอดทาง ความเมื่อยล้าไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้ามันน่าตื่นเต้น จนลืมความลำบากไปหมด ลงรถทัวร์มาก็เจอคิวรถสองแถวเหลืองที่จะขึ้นไปดอยสุเทพ จอดเรียงรายอยู่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทอง รถมีแน่ แต่จะเหมาขึ้นไปคนเดียว คงไม่สนุก มันจะเหงาเกิน อยากจะหาใครร่วมทาง อย่างน้อยก็จะได้พูด ได้คุยบ้าง แถมยังมีคนแชร์ค่ารถอีกต่างหาก

รอ รอ แล้วก็รอ ตั้งแต่ 8 โมง หลังกินโจ๊กร้อนๆ กับน้ำเต้าหู้ จน 10 โมงกว่าแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีนักท่องเที่ยว ทั้งไทย ทั้งฝรั่ง ที่จะมาต่อรถขึ้นไปดอยอินทนนท์ในเช้าวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเหมามาก่อนจากเชียงใหม่ หรือไม่ทางทัวร์ก็จองรถไว้ให้แล้ว ผมเองขอแค่ว่าคนไหนไม่เต็มก็จะขอขึ้นไปด้วย แต่ผ่านไปสองชั่วโมง มันก็มีแต่รถที่นั่งกันเต็มพอดี ความซวยเริ่มบังเกิด หรือว่าที่ผมอุตส่าห์ดั้นด้นนั่งรถชั้นสองมา 12 ชั่วโมง จะไม่มีความหมายอะไรเลย

รอจนพี่ๆ คิวรถแถวนั้นต่างก็เข้ามาถามไถ่ ดูเป็นจุดเด่นเหลือเกินที่เป็นชายหนุ่มคนเดียว แต่ยังหาคู่ เอ้ย หาเพื่อนร่วมทางขึ้นไปไม่ได้ซักที สุดท้ายพี่คนขับคนหนึ่งยื่นขอเสนอให้ว่า จะลดค่าเหมารถให้ผมเป็นกรณีพิเศษ จาก 1200 บาท เหลือ 800 บาท เพราะเห็นว่ามาแล้วก็อย่าให้เสียเที่ยวเลย ผมเริ่มลังเล นี่ถ้าลดเหลือ 600 บาท คงตอบตกลงไปแล้ว แต่จะให้ขึ้นไปคนเดียวเนี่ยนะ สนุกตายละ

คิดแล้วคิดอีก อยู่ดีๆ ผมก็ลุกขึ้นเดิน พร้อมกับขอเบอร์พี่คนนั้นเอาไว้ กะว่าจะเดินไปเรื่อยๆ ตามทางให้ถึงถนนที่ตรงขึ้นดอย ถ้าถึงตรงนั้นแล้ว ยังไม่มีรถที่จะขึ้นผ่านมา ก็จะนั่งรถกลับเชียงใหม่แล้ว เดินๆ ไปคิดว่าใกล้ๆ ที่ไหนได้เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน แดดเริ่มร้อนเพราะเกือบ 11 โมงแล้ว จะลองโบกรถดู ก็เดี๋ยวจะเจอปัญหาขึ้นไปได้แต่ลงไม่ได้อีก นั่นจะยิ่งซวยหนัก เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมาค้างบนดอยเลย

เอาละ ถึงถนนตรงขึ้นดอยแล้ว ถ้าไม่เห็นรถสองแถวขึ้นดอยผ่านมา ก็จะไปเชียงใหม่แล้ว แต่ปาฎิหารย์ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อผมได้เห็นน้องๆ ผู้หญิง 3 คน ยืนโบกรถตรงทางขึ้นดอยนั้น โอ้ว โชคเริ่มเข้าข้างผมบ้างแล้ว ถ้าเป็นปีที่แล้วที่ดวงตกหนักๆ ผมคงไม่เจออะไรแบบนี้ ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ผมเดินดิ่งเข้าไปหา น้องๆ 3 คนนั้น แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เช้าให้ฟัง และถามไถ่เรื่องของน้องๆ

น้องๆ ทั้งสาม กำลังจะขึ้นดอยด้วยการโบกรถ แต่โบกมาแล้วซัก 15 นาที ก็ยังไม่ได้ ผมเลยเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนั้น ว่าจะโทรเรียกรถสองแถวจากท่ารถให้มารับพวกเราตรงนี้ และแชร์ค่ารถกัน น้องๆ เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะถ้าโบกต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะได้รึเปล่า แถมถ้าจะไปเที่ยวจุดอื่นๆ รอบดอยก็ต้องมาเสียเวลาโบกกันใหม่แบบนี้อีก

และแล้ว พวกเราก็ได้ขึ้นดอยสมใจ ผมดีใจมากที่ได้เจอน้องๆกลุ่มนี้ ไม่งั้นคงต้องมาเสียเที่ยวแน่ๆ แถมน้องๆ ยังมีอัธยาสัยดี ทำให้การเดินทางสนุกมากขึ้นไปอีก ได้มิตรภาพใหม่ๆ นอกจากได้ชมความสวยงามของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยแห่งนี้

จุดแรกที่เราไปก็คือยอดดอยอินทนนท์ ที่ตำแหน่งสูงสุดมีหมุดบอกความสูงไว้ 2565.3341 เมตร พืชพรรณบนดอยเป็นพวกที่ขึ้นในอากาศเย็นจัดอย่างพวกมอส จนเห็นคล้ายเป็นพรมสีเขียวปกคลุมไม้ใหญ่และทางเดินโดยรอบ และที่เป็นภาคบังคับก็คือการถ่ายรูปกับป้าย " สูงสุดแดนสยาม " ในวันนั้น มีฝรั่ง ไม่รู้ว่าเป็นนักปั่นจักรยานกันรึเปล่า ปั่นขึ้นไปถึงยอดดอยพร้อมกับถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

กิจกรรมต่อมาที่ใครขึ้นไปถึงก็ทำกันก็คือการแวะที่จุดพักนักท่องเที่ยว ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ แก้หนาว พร้อมกับเขียนไปรษณียบัตร ประทับตราดอยอินทนนท์ แล้วหย่อนลงตู้บนนั้น แม้ว่าอุณภูมิขณะนั้นจะไม่ต่ำที่สุด คือแค่ 12 องศา แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นจนมือแข็ง เขียนหนังสือไม่ได้เหมือนกัน

สถานที่ต่อไปที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือ พระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล - นภพลภูมิสิริ ที่กองทัพอากาศสร้างถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงพระเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษาปี 2530 และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา ปี 2535 บริเวณโดยรอบมีดอกไม้เมืองหนาวสวยงาม เหมาะกับผู้รักการถ่ายภาพ

จุดต่อไปเป็นตลาดม้ง ซึ่งก็อยู่ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และจุดกางเต้นท์แล้ว สำหรับผมว่าไม่มีอะไรมากนัก เป็นตลาดเล็กๆ แต่ก็ได้เห็นแม่ลูกชาวม้ง ครอบครัวหนึ่ง เก็บภาพมาฝาก ผมว่าภาพนี้มันบอกอะไรได้ดีกว่าตัวหนังสือนัก

ถึงที่ทำการอุทยานด้วยความหิวโหยเกือบบ่ายสามแล้ว โจ๊กที่กินไปเมื่อเช้าป่านนี้คงไปถึงลำไส้ใหญ่แล้ว น้องๆทั้งสามก็หิวเช่นกัน ทีแรกว่าจะพักกินที่ที่ทำการอุทยานด้วยกัน แต่ผมดูเวลาแล้ว สำหรับผมคงต้องไปแล้ว ตอนที่นั่งคุยกันบนรถ น้องๆ แนะนำให้ผมไปปายด้วย เพราะน้องๆเคยไปมาแล้วดีมาก ต้องไปให้ได้ และกำลังจะไปอีกวันพฤหัสนี้ ผมก็เลยเริ่มลังเลว่าจะเปลี่ยนแผนไปปายด้วย แต่ก็บอกไปว่ายังไม่แน่นอนนัก ปล่อยให้สถานการณ์พาไปดีกว่า ถ้ามีเวลาและความอยากพร้อมกัน ก็คงได้เจอกันที่ปายอีก

เราโบกมือลากัน ยินดีในมิตรภาพใหม่ที่มีให้กัน ไม่ได้ขออะไรสำหรับติดต่อเอาไว้ ผมขอเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ในใจ และในภาพที่ถ่ายร่วมกันก็คงพอ ถ้าโชคดีเราคงได้เจอกันอีกที่ปายนะ

ผมลงดอยมากับพี่คนขับเพียงลำพัง น้องๆทั้งสามการเต้นท์พักที่อุทยาน ผมต่อรถสองแถวสีเหลืองจาก อ. จอมทอง กลับมาที่เมืองเชียงใหม่ ด้วยความอ่อนล้ามาตั้งแต่เมื่อคืน บวกกับอากาศร้อนๆ ยามไม่ได้อยู่บนเขา กับรถสองแถวตะลุยฝุ่นเกือบ 2 ชั่วโมง มันทำให้มึนจวนเจียนสลบได้เหมือนกัน

ถึงเชียงใหม่ที่ท่ารถประตูเชียงใหม่ ต่อรถสองแถวแดงไปที่ที่พักแถวถนนนิมมานเหมินทร์ อันดับแรกคือต้องอาบน้ำแล้ว สภาพอย่างกับไปเขาชนไก่มา อาบเสร็จก็งีบสักพักรอเวลาตะลุยเมืองเชียงใหม่ต่อ

ผมตื่นมาช่วงค่ำ ได้ที่หมายในใจคือ กาดรินคำ และ หาของกินแถวหลัง มช. ซึ่งไม่ไกลจากที่พักนัก เดินไปเดินกลับก็ยังพอไหว พอถึงกาดรินคำ ก็น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะของกิน หรือเสื้อผ้า ที่ตลาดนัดในกรุงเทพก็มีขาย แต่เป็นน้องๆ มช. ที่น่ารักน่าชม กินไปชมไปช็อปไป เพลินครับ บรรยากาศแบบนี้ถ้าเป็นในกรุงเทพก็คงต่างกันออกไป จะเทียบอย่างแถวหน้าราม ก็ต้องบอกว่าที่นี่ ชิลกว่าเยอะ หนุ่มสาวออกมาเดินเล่น ซ้อนมอไซค์มาเป็นคู่ บ้างก็มากันเป็นกลุ่ม ถ้าใครเคยดูวัยอลวนฉบับน้องรถเมล์ ที่กลัวว่าลูกหลานมาเรียนนี่แล้วจะมีแฟนแบบในหนัง ก็เห็นจะต้องบอกว่า ทำใจครับ มันเป็นปรกติของที่นี่ การมีแฟนคงไม่ใช่เรื่องผิดถ้าหากไม่เสียการเรียน และไม่ออกนอกลู่นอกทางไปมากกว่านั้น

เดินรอบกาดรินคำอยู่หลายรอบ กำลังคิดว่าจะไปหาอะไรกินต่อที่หลัง มช. เพื่อความชัวร์เลยถามนักศึกษาแถวนั้นว่ากิน ด้านหน้า หรือด้านหลังเจ๋งกว่า น้องเค้าก็เลยบอกเอาบุญสำหรับคนไม่รู้อย่างผมว่า ด้านหลังวันนี้ปิด ปิดทุกวันที่ 25 ของเดือน อะไรมันจะพอดีขนาดนี้ มาปิดเอาวันที่เราจะไป แต่ก็โชคดีอีกแล้วที่ได้รู้ก่อน ไม่ได้ไปเก้ออีก เลยสรุปว่า เดินกลับมากินก๋วยเตี๋ยวแถวนิมมานดีกว่า เป็นทางกลับที่พักพอดี

กลับมาที่พัก ก่อนเข้านอนก็คิดโปรแกรมคร่าวๆ ของพรุ่งนี้ ว่าจะขึ้นดอยสุเทพ และก็ลงมาสวนสัตว์ ตามฟอร์ม จะมีอะไรน่าตื่นเต้นเกินขึ้นอีกมั้ย ต้องลองๆ แล้วมิสเตอร์บีนก็หลับลงในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆของวันนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น