วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 2 ... วันอังคาร ดอยสุเทพ และสรวงสวรรค์พระตำหนักภูพิงค์

ตื่นเช้าได้เองโดยอัตโนมัติ เหมือนมีนาฬิกาปลุกในใจ วันนี้ตั้งใจว่าจะเดินทางขึ้นดอยสุเทพ ไหว้พระธาตุ ชมพระตำหนักภูพิงค์ และปลายทางที่หมู่บ้านม้งดอยปุย แต่เช้านี้ดูฟ้ามืดครึ้ม เพราะเมื่อคื่นฝนตกหนัก จนโรงแรมที่พักขึ้นขั้นไฟดับ แต่เมื่อตั้งใจแล้ว ก็อย่าลังเล ว่าแล้วก็ขอเติมพลังซะก่อน ด้วยโจ๊กตลาดต้นพยอม เจ้าดังของเชียงใหม่ ชิมแล้วอร่อยจริง สมแล้วที่มีคนดังแวะเวียนไปมากมาย

( ระหว่างทางผ่านผับชื่อดังของเชียงใหม่ ยามเช้า นักเที่ยวต่างหลับไหล )

ทางเดินจากที่พักของผมไป ด้านหลังมช. และตลาดต้นพยอม ผ่านแปลงเกษตรของคณะเกษตร มช. ในยามเช้าแบบนี้ อากาศเย็นๆของฟ้าหลังฝน มองจากริมถนนเข้าไป เห็นทิวเขาดอยสุเทพ เป็นฉากหลัง ผมว่ามันสวยกว่า สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังบางแห่งซะอีก

กินโจ๊กเรียบร้อยแล้ว เดินเข้า มช. กะว่าจะเดินทะลุไปถึงด้านหน้า แต่เห็นรถไฟฟ้าจอดอยู่ว่างๆ ไม่มีนักศึกษาขึ้น ก็อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ พี่เค้าก็ต้องขับวนรอบอยู่แล้ว นั่งรถกินลมเย็นๆ สบายกว่า

รถจอดที่ประตูหน้าพอดี เดินไปอีกนิดก็จะเป็นสวนสัตว์เชียงใหม่ มีคิวรถสองแถวขึ้นดอยสุเทพจอดคอยผู้โดยสารอยู่ด้านหน้า ปกติแล้วราคาขึ้นไปวัดพระธาตุจะอยู่ที่ 40 บาท แต่วันนั้นคนน้อย คนขับเลยขอเป็น 50 บาท ขอกันตรงๆ แบบนี้รู้สึกดีกว่ามาแบบมั่วๆ ครับ

บนวัดพระธาตุยังคงคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งไทย ทั้งต่างชาติ แม้จะเป็นวันธรรมดาแบบนี้ ต่างจากข้างล่างที่ดูเงียบๆ เดินถ่ายรูปไปรอบๆ เห็นเด็กชาวม้งแต่ตัวเต็มเครื่องแบบ ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แล้วรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ดูหน้าน้องเค้าสิครับ บรรยายความรู้สึกได้ดีอีกแล้ว

ปกติยอมรับว่าตัวเองห่างไกลวัดมาเที่ยวเมืองเหนือครั้งนี้เห็นจะได้เข้าวัดบ่อยที่สุดในรอบหลายปี เมื่อวานก็วัดพระธาตุศรีจอมทอง วันนี้วัดพระธาตุดอยสุเทพ วันที่เหลือคงมีอีกหลายวัด สุขใจแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ชมม้งคนสองคนไม่สะใจ ต้องขึ้นไปหมู่บ้านม้งดอยปุย พอดีที่ว่าผมมาคนเดียว จึงต้องรอไปแจมกับรถคันอื่น ที่จะขึ้นไปจุดหมายต่อไป ผมยืนรอสักพัก ก็มีรถสองแถวอยู่คันหนึ่งกำลังจะพานักท่องเที่ยวหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เดินทางต่อไปดอยปุย ผมไม่รอช้ารีบติดต่อพี่คนขับ ขอขึ้นไปด้วยคน โดยมากแล้วจะได้ ยกเว้นว่าบางกลุ่มที่โดนเหมารถแล้ว ก็จะไม่รับคนเพิ่มอีก

ทางที่จะถึงหมู่บ้านม้งเล็กและแคบกว่าแถววัด ถ้าใครจะขี่มอไซค์ขึ้นมาก็คงต้องระวังกันหน่อย พอถึงพี่คนขับขอให้ผมช่วยพูดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติคู่นี้ให้ นัดเจอที่ไหนกี่โมง พอคุยกันก็ค่อนข้างจะถูกคอ ผมเลยได้รับหน้าที่ไกด์จำเป็นไปด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยมา แต่อย่างน้อยก็พอพูดกับชาวม้งรู้เรื่องอยู่บ้าง โชคดีของผมอีกครั้งที่ได้เจอเพื่อนร่วมทางน่ารักๆแบบนี้อีกแล้ว

ในรูปจะพอเห็นไกลๆ ได้ว่า เพื่อนต่างชาติของผมคู่นี้ ผู้ชายเป็นชาวไต้หวัน ส่วนสาวน้อยน่ารักคนนั้น เป็นชาวฮอลแลนด์ มองไกล้ๆ อย่างกับมาเรีย ชาราโปว่า ทั้งคู่บอกว่าเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอกครับ

เดินชมบ้านเรือน และชีวิตชาวม้งไปเรื่อย ต้องสะดุดตากับอะไรบางอย่าง ที่เค้าบอกว่ามันคือสัตว์ประหลาด หัวเป็นหมา ตัวเหมือนคน มีหางเหมือนลิง อะไรก็ไม่รู้ ผมว่าทำขึ้นมาเอง ให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้นเล่นๆ ซะมากกว่า

เดิมที่แห่งนี้เคยปลูกฝิ่นกันมาก ปัจจุบันก็มาปลูกพืชเมืองหนาว เปิดหมู่บ้านให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม เหลือเพียงดอกฝิ่น ที่ปลูกเอาไว้ให้ถ่ายรูปและเอามาตากแห้ง เป็นดอกไม้ประดับเท่านั้น

ก่อนจะแยกทางกับเพื่อนต่างชาติคู่นั้น ผมซื้อมันเผาร้อนๆ ให้ลองชิมกัน ส่วนเพื่อนต่างชาติของผมก็ตอบแทนด้วยการซื้อน้ำโมกุโมกุ น้ำหวานผสมเยลลี่ที่ขายในกรุงเทพนั่นแหละครับ ให้เป็นการตอบแทน แล้วก็มาบ่นว่าหวานๆ คนไทยชอบกินหวาน ก็ดันไปซื้ออะไรไม่ยอมถามคนไทยซะก่อนล่ะ

เราลงจากดอยปุยมาพร้อมกัน แต่ผมขอแยกทางที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ส่วนทั้งคู่เดินทางกลับไปตัวเมือง น่าเสียดายโดยแท้ ที่ทั้งคู่ไม่ลงมาเที่ยวพระตำหนักภูพิงค์กับผม เพราะมันสวยดั่งสวรรค์ ผมว่าทั้งอากาศ ทั้งวิวทิวทัศน์ ที่นี่คือสวรรค์บนดินโดยแท้ รูปที่ถ่ายมาเยอะมากคงไม่สามารถมาลงได้หมดเพื่อบรรยายความสวยงามนี้ บอกได้แค่ว่าถ้าใครได้ไปเชียงใหม่ อย่าลืมมาพระตำหนักพูพิงค์นะครับ

ผมใช้เวลาบริเวณโดยรอบพระตำหนักเกือบ 2 ชั่วโมง นี่ถ้ามีเวลาเหลือเฟือคงอยู่นานกว่านี้ แต่ก็ต้องลงดอยแล้ว เพราะอยากไปดูที่อื่นๆในเมืองด้วย ลงดอยมาถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ ก็ต้องเข้าไปคารวะหลินปิงซักหน่อย มันกลายเป็นธรรมเนียมปฎิบัติไปแล้วหรือนี่ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังที่เจอแต่ตัวพ่อ นอนขี้เกียจอยู่ตัวเดียว รอแล้วรออีกหลินปิงก็ไม่ออกมา ผมว่าแพนด้า เด็กๆ มันก็น่ารักซุกซนดี แต่พอเริ่มแก่อย่างตัวพ่อแล้วเนี่ย ดูขี้เกียจๆ ยังไงไม่รู้ ไม่รอละ ไว้ไปดูในทรูก็ได้

ขึ้นรถเที่ยวชมรอบๆ สวนสัตว์ โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ใช่คนที่ปลื้มสัตว์ในกรงอะไรพวกนี้นัก จะสนุกสนานก็ตรงที่คนขับ เป็นคนบรรยายบรรยากาศรอบๆไปด้วย แต่ละคนงัดมุกมาให้นักท่องเที่ยวขำกันกระจาย วนครบรอบแล้วก็ออกดีกว่า บอกแล้วว่าไม่ปลื้มสัตว์ในกรงแบบนี้

ออกมาก็เย็นมากแล้ว เติมพลังมื้อเย็นอีกสักมื้อ ก่อนจะกินอีกครั้งมื้อดึกๆ ผมเดินไปเรื่อยถึง หน้า มช. มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ติดกันอยู่เป็นสิบร้าน รองรับนักศึกษาที่จะออกมากินพร้อมๆกันได้เป็นร้อย รสชาติดี ราคาประหยัดแบบนี้ ถูกใจครับ มื้อนี้เป็นน้ำพริกอ่องราดข้าว ไข่ดาว แล้วก็ ต้มแซบกระดูกอ่อน สุดยอดครับ

กินเสร็จก็ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว ผมเลือกจุดหมายในการชมพระอาทิตย์ตกในวันนี้ที่ริมน้ำแม่ปิง เริ่มจากเรียกรถแดงไปลงแถวกาดหลวง เดินชมคร่าวๆ กะว่าก่อนกลับจะแวะมาซื้อของฝากอีกครั้ง เดินข้ามสะพานเล็กๆ ไปยังอีกฝั่ง ตามเส้นถนนเจริญราษฎร์ และถนนเชียงใหม่-ลำพูน ก็จะเป็นร้านอาหารเก๋ๆ รินน้ำแม่ปิง เดินผ่านร้านอาหารมาอีกนิดก็จะเป็นที่นั่งริมน้ำ ถ้าอากาศเย็นกว่านี้อีกนิดคงเหมาะมากสำหรับคู่รัก มาชมพระอาทิตย์ตก แต่สังเกตว่าคนเชียงใหม่เองไม่ทำอะไรแบบนี้ เหมือนที่เราคนกรุงเทพ ก็ไม่ค่อยมานั่งริมสะพานพุทธเช่นกัน

ยัง ค่ำคืนนี้สำหรับผมมันยังไม่จบ ผมเรียกสามล้อ นั่งต่อไปยังไนท์บาซาร์ เคยได้ยินว่าเดี๋ยวนี้ซบเซาไปมาก ก็เห็นจะจริง ตัวไนท์บาซาร์เองคนเดินน้อย มีร้านปิดไปหลายร้าน จะยังพอคึกคักอยู่บ้างก็เป็นริมถนนโดยรอบ ส่วนใหญ่เป็นของขายชาวต่างชาติเหมือนอย่างแถวริมถนนสีลม สุขุมวิท แบบนี้ไม่เวิร์คครับ ไม่ใช่แนว เดินแป๊บเดียวก็เลยว่า ไปที่อื่นดีกว่า

สุดท้ายแล้วผมก็ไปจบที่หลัง มช. จนได้ หลังจากที่เมื่อวานปิดเลยไม่ได้มา ร้านอาหารเรียงรายอยู่ริมทาง ทั้งสองฟากถนน ทั้งนักศึกษา คนทำงาน กินกันอย่างเอร็ดอร่อยและสบายกระเป๋า นึกถึงเยาวราช ท่าดินแดงในกรุงซะจริง แต่ฝากเอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมขอเข้าร้านเนตเพื่อหาข้อมูลเดินทางไปปาย ปาย มันเริ่มเข้ามาอยู่ในหัวผมแล้ว

ค้นข้อมูลในเนตไป พลางดูบรรยากาศในร้านเนตไป ซึ่งก็มีแต่นักศึกษา มช. ทั้งนั้น มีเสียงคุยทั้งคำเมือง ทั้งภาษากลางคละเคล้ากันไป ฟังสนุกดีเหมือนกันครับ หลังจากได้ข้อมูล พร้อมทั้งแผนที่ อ.ปาย อยู่ในมือแล้ว ก็ตัดสินใจได้ว่า พรุ่งนี้เช้า จุดหมายของเราคือ ปาย

ออกมาจากร้านเนตเกือบสี่ทุ่ม ร้านอาหารเริ่มเก็บไปหลายร้านแล้ว แต่ยังมีร้านหนึ่งแปลกแหวกแนวดี เขียนไว้ว่ากับข้าวราคาเริ่มต้น 14 บาท ผมก็สงสัยว่าเค้าทำได้ยังไง ดูในเมนูแล้วยิ่งตกใจ มีทั้งผัดผัก ไข่เจียว ผัดเผ็ด แกงจืด ตามปกติที่ร้านข้าวต้มจะมี แต่มัน 14 - 19 บาท ทำได้ไง จะคุ้มหรือ

ว่าแล้วก็สั่งมัน 4 อย่างซะเลย ไข่เจียวหมูสับ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ผัดผักคะน้าหมูกรอบ ผัดผักบุ้งไฟแดง ข้าวอีกสองจาน เค้าทำได้ครับ แม้ปริมาณจะน้อยกว่าร้านปกติ คิดง่ายๆ ว่าถ้าร้านอื่นผัดจานละ 40 บาท ร้านนี้ก็ทำซักครึ่งหนึ่ง แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเรามาคนเดียวจะได้กินหลายๆอย่าง อิ่มนี้จ่ายแบงค์ร้อยยังได้ทอนมาสิบกว่าบาท

กินไปกินมา มองดูถนนไปก็คิดว่า เอาแล้วมั้ยล่ะ รถแดงมันหมดแล้วหรือนี่ มองตั้งนานยังไม่มีผ่านมาซักคัน แล้วก็ต้องเดินกลับที่พักจนได้ ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล เดินกลับมาด้วยความเมื่อยล้า ออกไปตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กลับมาเกือบห้าทุ่มแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าเพื่อเช็คเอ้าท์ โรงแรม และไปให้ทันรถเที่ยวแรกที่จะไปปาย เจ็ดโมงเช้า ไม่ไหวแล้วครับ มิสเตอร์บีนขอลาวันนี้ไปแต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้เจอกันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น