วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Don't tell my mother that I reach Vietnam # 1

" หลายครั้งที่ผมถามตัวเองว่า ชีวิตนี้เกิดมาทำไม ... บางครั้งก็มีคำตอบ บางครั้งก็ไม่มีคำตอบ เมื่อเวลาผ่านไปกลับมาถามตัวเองอีกที ก็ได้คำตอบต่างกันไปอีก

ถามคนรอบข้างด้วยคำถามเดียวกันนี้ ก็ได้คำตอบต่างกันไปอีก ในวันหนึ่งผมจึงรู้สึกว่า มันเสียเวลาเปล่าที่จะมาถามตัวเองด้วยคำถามอะไรแบบนี้

เวลาที่เหลืออยู่จากวันนี้ต่างหากที่มีค่าให้คิดถึง จะทำอะไร ให้ใครต่อจากนี้ไป "

และครั้งนี้ ผมขอจะเวลาที่พอจะหาได้ 5 วันเต็มๆ กับการเดินทางคนเดียวอีกครั้ง ชื่อสถานที่ท่องเที่ยวคร่าวๆ ในเวียดนามถูกจดไว้เป็นเป้าหมายในการเดินทาง กระเป๋าสะพายหลังใส่เสื้อผ้าไปไม่มากนัก กับพาสปอร์ต และเงินติดตัวอีก 200 ดอลล่าร์ คิดว่าน่าจะพอถ้าไม่ใช้ฟุ่มเฟือยนัก

( น้องแอร์คนสวย หน้าตาคมเข้มคนนี้กำลังสาธิตตามสูตร ดูแล้วเพลิน )

ก่อนเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ ผมจองตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย ไปกลับกรุงเทพ - โฮจิมินห์ ได้ที่ราคาประมาณ 4800 บาท หย่อนนิดหน่อย รวมภาษีสนามบินแล้ว ค่อนข้างแพงถ้าเทียบกับคนที่ได้ตั๋วโปรโมชั่น ที่ค่าตั๋วอาจจะไม่มี มีเพียงแค่ภาษีสนามบิน รวมแล้วก็คงถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง

( ใกล้ถึงสนามบินTan Son Nhat อยู่ใกล้เมืองมาก จึงได้เห็นมุมมองนี้ที่ปีกเครื่องอยู่เหนือจากบ้านเรือนผู้คนไม่มากนัก )

ใช้เวลาบินเพียงชั่วโมงเศษ เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ 7.50 น. ถึงที่หมายสนามบิน Tan Son Nhat โฮจิมินห์ซิตี้ 9.15 น. เกินไปนิดหน่อย บินเดี่ยวครั้งแรกอย่างผมครั้งนี้ เห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ไล่ไปตั้งแต่นางฟ้าชุดแดงของแอร์เอเชีย ไปจนถึงวิวนอกหน้าต่างๆ สวยๆ ยามเหมือนปีกเครื่องลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ ไม่ทันไรก็เตรียมลงเครื่องได้แล้ว

( ที่หน้าสนามบิน Tan Son Nhat เจ้าหน้าที่ที่นี่ยังดุสไตล์คอมมิวนิสต์ แถมดุเป็นภาษาเวียดนามอีกต่างหาก ฟังไม่รู้เรื่องครับ )

สนามบินเค้าก็หน้าตาคล้ายๆของเรา แต่ดูจะเล็กกว่ามาก ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ลงมาชั้นล่างก็ถึงทางทางออกแล้ว ทำเอาลืมของสำคัญที่ทราบข้อมูลมาว่า จะมีสาวเวียดนามในชุดประจำชาติยืนแจกแผนที่อยู่ที่ทางออก แต่ก็ไม่เห็น แต่ก็ไม่ลืมขั้นตอนสำคัญอีกอย่างคือต้องแลกเงินดอลล่าร์ที่เตรียมมาซักส่วนหนึ่ง เพราะต้องใช้เป็นค่ารถประจำทาง แลกที่สนามบินนี้ผมได้ที่อัตรา 1 ดอลล่าร์ต่อ 19200 เวียดนามด่อง ( มารู้อีกทีในวันต่อมาที่ได้แลกกับธนาคารจะได้ที่อัตรา 1 ดอลล่าร์ต่อ 19400 เวียดนามด่อง ไม่ขาดทุนมากนัก )

( ความสามารถในการขับขี่ของคนที่นี่ เหนือชั้นจริงๆ ไหลตามกันไป รีบไปก็เท่านั้น )

ผมเลือกใช้บริการรถประจำทางจากสนามบินเข้าไปในเมือง ก็ต้องขอขอบคุณข้อมูลทางอินเตอร์เนตจากหลายๆแหล่งที่ทำให้ทราบว่าต้องเดินทางไปไหนอย่างไร รถประจำทางสาย 152 นี้จอดรออยู่ทางขวาเมื่อเดินออกมาจากสนามบิน ค่าโดยสารสุดถูกที่ 3000 ด่อง เงินไทยคิดแล้วก็แค่ 4.50 บาท ประหยัดกว่านั่งแท็กซี่เยอะ

( ตลาดเบนถาน จุดศูนย์กลางแหล่งท่องเที่ยวเมืองไซ่ง่อน ไปไหนไม่ถูกก็มาเริ่มต้นที่นี่ เช้าๆยังส่วนของตลาดนัดไม่คึกคักนัก เพราะที่นี่กว่าจะปิดดึก เลยเปิดสายหน่อย จะคึกคักก็เฉพาะส่วนของตลาดสด )

จากสนามบินเข้าเมือง ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ผ่านถนนสำคัญๆ ของโฮจิมินห์ซิตี้ ( ต่อจากนี้ผมจะขอเรียกว่าไซ่ง่อน หรือไซกอน อย่างที่คนเวียดนามเค้าเรียกกัน ) ได้เห็นสภาพการจราจรของที่นี้แล้วก็ต้องบอกว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ที่เคยได้ยินมาว่ามันวุ่นวายมากมายเพราะด้วยปริมาณมอเตอร์ไซค์จำนวนมหาศาล ที่ขับกะชั้นชิดกันจนรถใหญ่ ก็ทำได้แต่ไหลตามมอเตอร์ไซค์ไปอย่างนั้น เสียงแตรดังประสานเสียงจนยากที่จะเดาออกว่ามาจากคันไหน

( ข้าวมื้อแรกก็ทำเอาเสียอารมณ์แล้ว ในเมนูเขียนชัดๆว่าข้าวผัดกุ้งมาเลเซีย ไหนตอนมาเสิร์ฟ มันเป็นข้าวผัดไข่ ไร้กุ้งแบบนี้ กระซิบหน่อยว่าอยู่ข้างๆ บริษัทเวียตซีนั่นแหละครับ จะทานกันก็ระวังหน่อย )

คนข้ามถนนที่นี่ก็ช่างกล้าบ้าบิ่น ข้ามเหมือนไม่ต้องมองรถ แค่เดินไปช้าๆ มอเตอร์ไซค์เหล่านั้นก็จะหลบให้เอง วันแรกที่ไปถึงผมก็ยังกล้าๆกลัวๆ แต่อยู่ไปซักพักชักจะชิน ก็ทำอย่างที่คนเวียดนามทำคือเดินไปเฉยๆ ไม่ต้องวิ่ง ไปตามทางของเรา เดี๋ยวเค้าขับหลบเราเอง เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะถิ่นจริงๆ

( ณ. ร้านเดิม ยังไม่เข็ด สั่งเปาะเปี๊ยะสดมาซ้ำด้วยความหิว ก็ยังไม่ผ่านอยู่ดี เย็นชืดแป้งเหนียวแข็ง หรือว่าบ้านเขาเรียกแบบนี้ว่าอร่อยก็ไม่รู้ )

ผมเลือกลงที่ท่ารถตรงข้ามตลาดเบนถานอันเป็นจุดศูนย์กลางของเขตแหล่งท่องเที่ยว ได้ข้อมูลมาว่าถ้าจะไปเที่ยวเมืองอื่น ที่ตั้งใจไว้ก็คือเมืองดาลัต และมุยเน่ ก็คงต้องใช้บริการบริษัททัวร์ก็จะสะดวกสบายที่สุด ผมใช้บริการของบริษัทเวียตซี Viet sea อันเป็นข้อมูลที่ได้จากเว็บของพี่วุฒิ เคท ต้องขอขอบคุณไว้ ณ. ที่นี้ด้วยครับ

( ยังดีที่พนักงานมีรอยยิ้มสวยๆให้แบบนี้ ไม่อร่อยก็ให้อภัยครับ )

เดินจากตลาดไปบริษัททัวร์เวียตซีที่ถนน Pham Ngu Lao ด้วยความที่ยังไม่ชินทางเดินวนไปวนมาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเจอเล่นเอาเหงื่อชุ่ม อากาศที่ไซ่ง่อนวันนี้ ร้อนอบอ้าว มีเมฆครึ้ม สัญญาณอันตรายก่อตัวแล้ว วันนี้มีหวังต้องเดินตากฝน

ถึงบริษัทเวียตซีก็กางโพยที่เตรียมไว้ อธิบายแผนการให้พนักงานฟัง พนักงานที่นี่ท่าทางจะคุ้นเคยกับคนไทยดี คงเพราะพี่วุฒิเคท โฆษณาไว้มาก จึงมีคนไทยเดินทางมาตามเส้นทางที่พี่ทั้งสองคนเขียนเอาไว้ การเดินทางของผมครั้งนี้มีเวลาน้อยไปหน่อย ไปเต็มที่ก็ได้แค่ 2 เมือง แถมต้องนอนบนรถอีก 2 คืน ได้นอนสบายๆในโรงแรม 2 คืน และต้องกลับมาไซ่ง่อนอีกครั้งในวันศุกร์เที่ยวอีกครึ่งวันแล้วขึ้นเครื่องบินกลับ แผนเดิมว่าจะอยู่ไซ่ง่อนนานหน่อยชักไม่เข้าท่า เพราะดูแล้วฝนแบบนี้น่าจะตกอีกหลายวัน เลยเปลี่ยนแผนนิดหน่อย แผนการเดินทางที่สรุปการจองตั๋วและที่พักแล้วของผมมีดังนี้

วันจันทร์ 22 พ.ย. ตะเวนเที่ยวไซ่ง่อน เดิน เดิน และเดิน จน 5 ทุ่ม ขึ้นรถไปเมืองดาลัต ค่ารถ 9USD

วันอังคาร 23 พ.ย. ถึงดาลัตเช้า ตะเวนเที่ยวดาลัต เดินอีกแล้ว ขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นก็คงต้องเดินเอา พักที่ดาลัต โรงแรม Thanh Loan Villa ราคาพอไหว 16 USD

วันพุธ 24 พ.ย. ยังคงตะลุยเมืองดาลัต เอาให้ทั่วครับ พักที่เดิม 16 USD

วันพฤหัส 25 พ.ย. 7.30 น. ขึ้นรถไปมุยเน่ ถึงประมาณบ่ายโมง ค่ารถ 7 USD และคืนเดียวกันนี้ตีหนึ่ง ขึ้นรถจากมุยเน่ กลับไซ่ง่อน ถึงไซ่ง่อน 6 โมงเช้า ค่ารถ 7 USD วันนี้น่าจะโหดสุดแล้ว

วันศุกร์ 26 พ.ย. ถึงไซ่ง่อนเช้า ไปทัวร์อุโมงค์กู๋จี ครึ่งวัน ค่าทัวร์ 5USD จบบ่ายสอง เดินทางไปสนามบิน ขึ้นเครื่องกลับบ้าน

รวมค่าใช้จ่าย 9+16+16+7+7+5 = 60 USD พอดิบพอดี พนักงานใจดีลดให้อีกเหลือ 58 USD เป็นเงินไทยก็ 1740 บาท ไม่เกินงบ เหลือเงินติดตัวอีกตอนนี้ก็ประมาณ 140 USD ทริปนี้น่าจะอยู่ได้สบายๆ แถมมีเงินเหลือกลับบ้านเป็นแน่

จองตั๋ววางแผนการเดินทางวันต่อๆไปเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาสำรวจไซ่ง่อน

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดิบๆ ที่ลาวเหนือ 5 ... บทสรุปสุดท้าย ที่มิตรภาพไทย-ลาว

เอ้ เอ้ เอ้ เอ้ เอ เอ่ 2 NE 1 ....

เสียงปลุกจากมือถือผมส่งเสียงหนวกหูตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้า ต้องรีบเก็บข้าวของทำธุระส่วนตัวแล้ว เพราะรถโดยสารที่จะไปเวียงจันทน์รอบสุดท้ายคือ 7 โมงเช้า ( ต่อจากนั้นจะเป็นรถตู้ ซึ่งไม่ได้อารมณ์การเดินทางแบบเช้าบ้านแท้ๆ ) ผมและเพื่อนจัดการธุระเสร็จสรรพมาถึงท่ารถก็เกือบ 7 โมงพอดี

( รถแนวๆ โลคัลบัส จากวังเวียงสู่เวียงจันทน์ )

ยังไม่มีคนขึ้นแม้แต่คนเดียว เราสองคนจับจองที่นั่งได้เต็มที่ สภาพรถเกินคำบรรยาย ยังกับเพิ่งผ่านสงครามมาเมื่อวาน อารมณ์นี้แหละที่อยากสัมผัส นั่งรถไปกับชาวบ้านแท้ๆ บ้างก็ไปทำธุระเมืองหลวง บ้างก็เอาของไปส่งที่ตลาด เราเห็นชาวบ้านโบกขึ้นรถระหว่างทางเป็นระยะๆ บางคนอาศัยเอาข้าวสารไปส่งในเมืองด้วย คนขับคนรถมาช่วยขนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีอารมณ์เสียให้เห็นสำหรับประเทศนี้ ความใจร้อนโมโหร้ายคงไม่อาจข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งลาวนี้ได้

( ไก่ย่าง มารองท้องให้หายหิวช่วงเช้าๆ )

ระยะทางจากวังเวียงสู่เวียงจันทน์แม้จะเป็นถนนเล็ก แต่ก็ไม่ได้คดเคี้ยวขึ้นลงเขาเหมือนช่วงหลวงพระบางแล้ว วิ่งได้เร็วกว่ามาก ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงเศษ ก็ถึงท่ารถเวียงจันทน์ ตรงข้ามกันเป็นตลาดเช้า

( สภาพรถอย่างกับเพิ่งผ่านสงครามมา )

ยังไม่ทันได้ลงรถก็มี บรรดาสามล้อสกายแล็บนำเที่ยวกรูกันเข้ามารอรับเราสองคนที่ดูแล้วก็ยังเป็นนักท่องเที่ยวอยู่ดี ข้อเสนอต่างๆพรั่งพรูออกมา ส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกัน ผมเลือกเอาจากโหวงเฮ้งคนขับเป็นเกณฑ์ คือถูกชะตาใครก็คนนั้นแหละ สามล้อจะพาเราเที่ยวรอบเมืองเวียงจันทน์ ประมาณสองสามชั่วโมง แล้วจะพาเรามาส่งที่ท่ารถนี้ เพื่อนนั่งรถข้ามไปหนองคายที่ก็มีออกทุกชั่วโมงอยู่แล้ว

( ประตูชัย แบบเดียวกับที่ฝรั่งเศส )

เวลามีน้อยเราตกลงใจไม่รอช้า สนนราคา 2 คน 500 บาท สามล้อขับพาเราไปสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องไปอันได้แก่ หอพระแก้ว วัดศรีสะเกษ ทำเนียบประธานประเทศ ประตูชัย ตาดหลวง และ พิพิธภัณฑ์ไกรสอน พรหมวิหาร

( พระธาตุหลวง สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาของเมืองเวียงจันทน์ )

ระหว่างทางเรามีหยุดแวะพักกินเฝอที่สามล้อบอกอร่อยนักหนา ไอ้ผมล่ะอยากกินอย่างอื่นบ้างเพราะมานี่กินเฝอไปหลายมือแล้ว แต่สามล้อบอกคิดไม่ออก ท่าทางเจ้าตัวจะอยากกินเองซะมากกว่า ระหว่างนักกิน ก็มีข้อเสนอพิเศษ สำหรับนักท่องเที่ยวหนุ่มอย่างพวกเราอีกแล้ว

( วิวจากด้านบนประตูชัย )

พี่แกเสนอจะพาสาวมาให้เราดูตัวสัก 3 - 4 คน ถ้าถูกใจก็พาไปไหนต่อไหนได้ ผมได้แต่ถอนหายใจ ว่าอิ่มแล้วล่ะ กินต่อก็ไม่อร่อยแล้ว เวลาก็เหลือไม่มาก อย่างดีกว่า ลืมเสียดีกว่า ที่สำคัญ ตัวเลือกน้อยเกินไปรึเปล่านั่น

( ทำเนียบท่านประธาน ศิลปะจากฝรั่งเศส )

มันคงกลายเป็นค่านิยมที่ล้างไม่ออก กี่ยุคกี่สมัยผมก็ได้ยินมาแบบนี้ สมัยพ่อก็เล่ามาแบบนี้ ว่าไปเที่ยวไหนต้องให้ถึงที่นั่น มีดีมานด์ มันก็มีซัพพลาย มีคนขาย เดี๋ยวก็มีคนซื้อ วนกันไปแบบนี้

( วัดศรีสะเกส มีบางส่วนที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า รอดพ้นจากการเผาทำลายของไทย พี่ไทยหนอพี่ไทยทำน้องลาวได้ )

อากาศเวียงจันทน์ แห้งๆแดดแรงมาก เที่ยวไม่ทันไรก็อยากจะเข้าร่มๆ สามล้อพาเราไปในที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง ที่บางส่วนอาจนึกไม่ถึง นั่นคือ พิพิธภัณฑ์ไกรสอน พรหมวิหาร สร้างขึ้นเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์การสร้างชาติของลาวยุคใหม่ หลังยุคล่าอาณานิคม ผ่านการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส การต่อสู้เรียกร้องเอกราชกับพันธมิตรที่เหนียวแน่นอย่างเวียดนาม เสร็จแล้วก็ต้องมารับมือกับกองทัพสหรัฐอีก

( หอพระแก้ว ยังคงทิ้งร่องรอยของการเผาทำลายไว้ )

ทั้งหมดนี้ประวัติศาสตร์ลาวได้จารึกไว้ว่า บุคคลสำคัญที่สุดที่นำพาประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็คือ ท่านไกรสอน พรหมวิหาร จากผู้นำสู้รบมาเป็นประธานประเทศที่ชาวลาวให้การนับถือสูงสุด ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ มีอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ ผมดูท่าทางการยืนของท่าน รวมทั้งประวัติแล้ว รู้สึกเหมือนถอดแบบมาจากประธานเหมาเจ๋อตุงของจีนยังไงยังงั้น

( พิพิธภัณฑ์ไกรสอน พรหมวิหาร เราใช้เวลากับที่นี่มากที่สุด เหมือนเข้าห้องเรียนประวัติศาสตร์ )

ประเทศแถบนี้ที่ผ่านวิบากกรรมร่วมกันมาอย่าง เวียดนาม ลาว กัมพูชา แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ร่องรอยบางอย่างก็เห็นได้อยู่ บ้านเรือนส่วนใหญ่ยังประดับธง ทั้งธงชาติลาว และธงแดงของขบวนการกู้ชาติ ในวันนี้แต่ละประเทศก็อยู่บนวิถีการพัฒนาแล้ว ผมเซ็งเล็กน้อยที่โดนเพื่อนคนลาวคุยว่าเค้าใช้โทรศัพท์ 3 จีแล้ว ธุรกิจมือถือของที่นี่กำลังโตวันโตคืน อีกไม่นานทุกคนคงมีมือถือใช้อย่างบ้านเรา

( วัดศรีเมือง มีปูนปั้นรูปยักษ์และฤาษีไว้ ให้ถ่ายรูปมั้ง )

อิ่มกับประวัติศาสตร์ลาวที่พิพิธภัณฑ์ก็ล่วงมาจนเกือบบ่ายสามแล้ว เราตัดสินใจจบการทัวร์เวียงจันทน์แต่เพียงเท่านี้ แต่พอสามล้อมาส่งที่ท่ารถกลับไม่มีรถบัสไปหนองคายให้นั่งแล้ว เต็มหมดไปถึง 6 โมงเย็น ถ้าอย่างนั้นอาจไม่ทันรถทัวร์กลับกรุงเทพ

( ช็อตนี้ชอบครับ ฝรั่งถ่ายผม ผมถ่ายฝรั่ง ใจตรงกัน )

สถานการณ์พาให้เราต้องมานั่งรถเมล์กับชาวบ้านชาวลาวอีกแล้ว แน่นเหมือนรถเมล์กรุงเทพ เป็นรถโดยสารไปที่ด่านที่สะพานมิตรภาพ ค่ารถตกคนละ 20 บาท เหมือนถูกแต่ไม่ถูกเพราะต้องไปต่อรถที่สะพานเพื่อข้ามไปฝั่งไทย และเข้าไปท่ารถที่หนองคายอีก แถมมาหลัง 4 โมงเย็นยังต้องเสียค่าล่วงเวลาให้ด่านอีก รวมๆแล้ว เสียร้อยกว่าบาทสำหรับผ่านด่านที่สะพานมิตรภาพ ไปจนถึงท่ารถหนองคาย

( แผนภาพบรรดาผู้นำประเทศของลาว )

ก่อนจะขึ้นรถวีไอพี 24 ที่นั่งกลับกรุงเทพที่เราจองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นับเป็นพาหนะที่ไฮโซที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ เราแวะทานอาหารหน้าเทศบาลเมืองหนองคาย เป็นมื้อสุดท้ายเพื่อจบทริปนี้ ผมกับเพื่อนสองคนย้อนคุยเรื่องต่างๆตั้งแต่วันมา แลกเปลี่ยนความประทับใจต่างๆ จนใกล้เวลารถออกแล้ว

( แม้สาวคนท้ายๆที่ผมมอง ทำไมไม่เจอสวยๆแบบคำลี่บ้างเลย )

5 วัน 6 คืน การเดินทางสุดมันส์ สำหรับช่วงท้ายวัยโสดของเพื่อนผม กำลังจะผ่านไป จากนี้สถานะทางสังคมของเพื่อนคงเปลี่ยนไป ประสบการณ์ดีๆแบบนี้ คงเก็บไปคุยกับกลุ่มเพื่อนๆได้อีกนาน

ขอบคุณที่ติดตามรับชมครับ

ดิบๆ ที่ลาวเหนือ 4 ...การผจญภัยบนเส้นทางสู่วังเวียง

ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ....

เสียงเคาะประตูห้องผมดังจนต้องสะดุ้งตื่น เสียงเรียกจากภายนอกบอกให้รู้ว่าพวกเราที่เหลือตื่นกันหมดแล้ว ผมดูเวลาอยู่ประมาณตีห้าครึ่ง เรามีเวลาล้างหน้าล้างตาอีกเล็กน้อย ก่อนตามลงไปสบทบกับเพื่อนๆ

( สปีดการเดินบิณฑบาตรเร็วจนชัตเตอร์กล้องสู้ไม่ได้ )

รวมตัวกันครบปุ๊บก็รีบปั่นจักรยานกันไปที่หัวมุมถนนศรีสว่างวงศ์ ถนนสายหลักที่เป็นตลาดมืดยามค่ำคืน และเป็นที่ใส่บาตรข้าวเหนียวตอนเช้า มีแม่ค้าหาบข้าวเหนียว ข้าวต้มมัดมาเร่ขาย ไอ้เราก็นึกว่าไปซื้อที่เค้าตักใส่กระติ๊บใหม่ๆจะดีกว่า แต่ก็เข้าใจผิดเพราะที่ตักใหม่ๆมันร้อนเกิน เวลาปั้นใส่บาตรพระจะเป็นการทรมานตัวเองเปล่าๆ

หกโมงพอดิบพอดี ขบวนพระก็เดินมาเป็นแถวไม่ขาดสาย ได้รับคำเตือนมาแล้วว่าพระจะเดินเร็วมาก ต้องทำให้เร็ว ไม่งั้นขบวนหลังๆมาก็จะติดขัดไปด้วย แต่เพราะข้าวมันร้อนเกินนี่แหละ รีบก็รีบ ร้อนมือก็ร้อน ไหนจะห่วงถ่ายรูปอีก ไม่ควรเลยจริงๆ คราวหลังซื้อกะแม่ค้าที่เร่ขายนั่นแหละดีแล้วเย็นมือหน่อย

( ไข่ลวก กาแฟลาว ปาท่องโก๋ ริมน้ำที่ร้านประชานิยม )

มาอยู่หลวงพระบางสองวันสองคืนแล้ว รู้สึกว่าตัวเองดันไปสัมผัสกับด้านอโคจรมากไปหน่อย จนภาพหลวงพระบางที่เคยคิดไว้ก่อนจะมาแกว่งไปเล็กน้อย แต่มาเช้าวันนี้ภาพศรัทธาก่อนหน้านี้ก็กลับมาชัดอีกครั้ง ถ้าจะมีอะไรที่ตัวเองทำไม่ดีไม่งามเอาไว้ในเมืองหลวงพระบางนี้ ก็ขอต้องขออภัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองไว้ ณ ที่นี้

เพื่อนใหม่ทั้ง 6 ทำภารกิจสำคัญที่สุดเสร็จสิ้นลงแล้ว ช่วงสุดท้ายนี้ เราจะไปร่ำลากันที่ร้านกาแฟ ประชานิยม ที่ว่ากันว่าใครมาหลวงพระบางก็ต้องแวะมากินกาแฟกันที่นี่ คนเยอะสมราคาคุยครับ ที่นั่งถูกจับจองเต็มอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะคนไทยมักจะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดีที่เราได้ที่นั่งริมน้ำอีกแล้ว

กาแฟลาวร้อนๆ ปาท่องโก๋ กับไข่ลวกคนละสองฟอง ฟื้นกำลังความสดชื่นได้ดีนัก เราสนทนากันทั้งเรื่องที่ได้เจอะเจอร่วมกันมาสองสามวันนี้ ลามไปถึงเรื่องในอดีตที่ผู้ชายมันจะเอามาเผากันในหมู่เพื่อน จนเกือบแปดโมงเช้า จวนจะใกล้เวลาที่รถจะมารับผมกับเพื่อนไปวังเวียงแล้ว คำร่ำลาไม่มี มีแต่คำว่าเราคงจะต้องได้เจอกันอีกแน่

( รถตู้เจ้าปัญหา พาเรามาเจอปาฎิหารย์ )

รถตู้ไปวังเวียงมารับผมกับเพื่อนถึงที่พัก เพื่อไปเปลี่ยนรถอีกทีที่ท่ารถ สภาพรถเก่ามาก นึกหวั่นอยู่ว่าถ้าต้องขึ้นเขาลงเขาชันๆ โค้งเยอะสภาพนี้จะไหวหรือ แต่ก็เชื่อใจคนขับแหละครับ สภาพรถหรือจะสู้ฝีมีอคน

รถเราเต็มไปด้วยฝรั่งๆๆๆ อีกแล้ว ผมก็เป็นโรคเดียวกับคนไทยส่วนใหญ่คือ ภาษาอังกฤษน่ะพอได้แต่ไม่จำเป็นจริงๆ ไม่มีทางจะคุยด้วยซะหรอก ผิดกับเพื่อนผมที่ทำงานกับฝรั่งอยู่แล้ว เดินทางมาจนวันที่ 4 แล้ว ไม่มีวันไหนที่มันจะไม่พูดกับฝรั่ง ยิ่งเป็นฝรั่งสวยๆ นี่ยิ่งพรั่งพรู บนรถนี้มันก็เริ่มปฎิบัติการเป็น The Talking Machine อีกครั้ง

( เด็กชาวม้งลูกเจ้าของร้าน ทำให้ผมยิ้มได้ระหว่างรอ )

มีพระรูปหนึ่งโดยสารมากับเราด้วย แว๊บแรกผมก็คิดว่าเป็นพระลาว พอได้คุยก็เลยรู้ว่าเป็นพระไทย ( ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าพฤติกรรมของพระสงฆ์แบบนี้เหมาะสมหรือไม่ ผู้อ่านใช้วิจารณญาณด้วยครับ ) ท่านบอกว่าอยู่วัดแถวนนทบุรี เดินทางมาเที่ยวลาวหลายวันแล้ว และก่อนหน้านี้ก็เคยมาลาวเป็นสิบครั้งได้แล้ว รู้ทะลุปรุโปร่งหมดเรื่องประเทศลาว จากนั่นก็ต่างคนต่างนั่งไปพักหนึ่ง

( ถ่ายจังๆกลัวไม่หล่อ เอากล้องมาบังไว้ บนสามล้อเข้าที่พักวังเวียง )

เพื่อนผมก็คุยกับฝรั่งไป นั่นเป็นความสุขของเค้า ส่วนผมก็ของคุยกับต้นไม้และขุนเขา ให้ลมเย็นๆมาปะทะใบหน้า เคยไปที่ปายเมื่อต้นปี อารมณ์คล้ายๆกัน แต่ความคดเคี้ยวที่นี่น้อยกว่า ออกจะเย็นชื้นกว่าด้วยเพราะป่าที่นี่รถทึบกว่าบ้านเรา บางจุดมองไปอย่างกับอยู่ในยุคจูราสิคปาร์ค มีเถาวัลย์พันยั้วเยี้ยไปหมด ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจับพวกเรามาแช่ตู้เย็นเอาไว้

( ที่พักหรูไม่ใช่เล่นๆ 500 บาท )

ขับไปได้ประมาณ 3 ชั่วโมง ครึ่งทางเห็นจะได้ เกิดอาการที่รถ เสียงดังครืดคราด คนขับตะโกนบอกพวกเราว่า ไปไม่ได้แล้ว ต้องจอด ซึ่งก็มีที่จอดพักอยู่ใกล้ๆตรงนั้นเป็นเพิงร้านอาหารเล็กๆ มีชาวม้งเป็นเจ้าของ คนขับพยามยามอธิบายให้ฟังว่าอาจจะเป็นคลัชที่เสีย ต้องจอดรอรถคันใหม่จากหลวงพระบางมาเปลี่ยน นั่นคือต้องรออีก 3 ชั่วโมง เพื่อนผมคอยแปลให้ฝรั่งที่เหลือได้ทราบ เล่นเอาอึ้งกันทั้งรถ

( ดึกๆ ที่นี่มีปาร์ตี้ เห็นจากร่องรอยขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ไม่เมาไม่เลิกแน่ๆ )

จากนั้นก็มีเสียงบ่นจากทั้งฝรั่งและพี่ไทยอย่างเรา ต้องรอแบบนี้แผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวจะผิดไปหมด ระหว่างที่ไม่รู้จะเอาไงดี ก็เหมือนมีเหตุการณ์สมรู้ร่วมคิดเกิดขึ้น คือเจ้าของร้านอาหารชาวม้ง ก็เสนอตัวว่ามีรถพร้อมจะรับนักท่องเที่ยวไปต่อ

เหมือนจะดีใจนะครับ แต่ถ้าคิดดูดีๆ มันจะไม่บังเอิญไปหรือ ที่อยู่ๆ ก็มาเสียเอาที่นี่ แล้วชาวม้งที่มีเพียงเพิงพักเก่าๆ จะมีรถตู้ใหม่เอี่ยม ( ใหม่กว่าคนที่มาคนละเรื่องเลย ) สแตนบายไว้อยู่แล้ว และแน่นอนถ้าจะไปต่อกับคันใหม่นี้ ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

( กิจกรรมเด่น คะยักบนแม่น้ำซอง )

เสียงบ่นดังขึ้นอีก เรื่องแบบนี้ฝรั่งคิดได้อยู่แล้วว่าเป็นการปล้นกันชัดๆ คนขับก็ว่าจะไปคันเก่านี่ก็ได้นะ แต่อาจจะไม่ปลอดภัยนะ แต่ไม่ทันที่เรื่องจะใหญ่โตไปกว่านี้ ก็ให้เกิดปาฎิหารย์กับพวกเราอีกครั้งคือพระไทยที่มากับเรานั้น เสนอที่จะเหมารถคันนั้นเอง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดท่านออกเอง และจะเมตตาให้พวกเราทั้งหมดไปพร้อมกันกับท่านด้วย

ดีใจ โล่งใจ และก็ปนความสงสัยเคลือบแคลง เหตุการณ์แรกที่รถมาเสียและดันมีรถใหม่มารอรับนั้นค่อนข้างมั่นใจอยู่ว่าปล้นกันชัดๆ แต่เหตุการณ์สองนี้ มันท้าทายความคิดเรื่องศรัทธาต่อศาสนาพุทธที่ผมมีก่อนหน้านี้อยู่แล้ว

( ถนนหลักเมืองวังเวียง ดูคล้ายถนนตามแหล่งท่องเที่ยวของไทย )

มาตรฐานชาวพุทธส่วนใหญ่ ก็คงต้องมองว่าการที่พระออกเที่ยวแบบนี้มันผิด มันไม่ควร ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ในสมัยพุทธกาล พระอริยสงฆ์ รวมทั้งพระพุทธเจ้าเองก็ออกเดินทางไปยังหลายๆเมือง หากแต่การเดินทางนั้นก็คงต้องพิจารณาอีกว่า ท่านปฎิบัติตนอย่างไร สร้างคุณงามความดีอะไรหรือไม่ หรือว่าเที่ยวอย่างเดียว

ถ้าเหตุการณ์ที่สองไม่ได้เป็นการสมรู้ร่วมคิดแล้ว การที่พระไทยรูปนี้ โปรดสัตว์น้อยตาดำๆอย่างพวกเรา ไม่ให้ต้องไปเสี่ยงอันตรายกับรถตู้เก่าๆคันนั้นอีก แม้จะใช้เงินทำบุญจากญาติโยม ก็ไม่น่าจะผิดบาปอะไร กลับยังเป็นสร้างบุญกุศลอีกต่างหาก อันนี้ผมพยายามมองโลกในแง่ดีสุดๆแล้วนะ

( มุมนี้สุดยอดอีกแล้ว แต่บ่มีปัญญากินร้านนี้นะ )

สำหรับชาวม้งคนนี้ผมก็คงไม่ถือโทษโกรธอะไร เพราะความลำบากยากจนคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องทำแบบนี้ ยิ่งเห็นลูกเล็กๆ อีกสองคนที่สุดแสนจะน่ารักไร้เดียงสา ที่ผมหยอกล้อเล่นตอนที่รอเคลียร์เรื่องกันอยู่นั้น ยิ่งโกรธไม่ลง ก็ขอให้นำรายได้เหล่านี้เลี้ยงลูกๆให้ดีแล้วกัน

สำหรับชาวลาวที่เจตนาขับรถเก่าๆพาพวกเราขึ้นมา เจตนาจะมาให้เสียตรงจุดนี้ แถมยังใช้ถ้อยคำไม่ดีเพียงเพื่อให้พวกเราเลือกที่จะจ่ายเงินเพิ่ม เป็นคนลาวคนแรกและคนเดียวที่ผมเห็นนิสัยร้ายๆแบบนี้ เรียกว่าเป็นมือใหม่หัดร้ายก็ว่าได้ เพราะไม่เนียน ไร้ศิลปะในการหลอกลวง เทียบกับบ้านเราไม่ติด เพราะบ้านเราเวลาจะหลอกใคร เนียนกว่านี้ได้อีกเยอะ

( ที่พัก และร้านอาหารที่เกาะกลางแม่น้ำซอง )

ว่าแล้วก็อย่าไปคิดอะไรมาก ผมและเพื่อน บอกให้ฝรั่งเข้าใจถึงเหตุการณ์และก็รับสภาพกันไป เพียงแค่กราบขอบคุณท่านแล้วก็ขึ้นรถไปต่อ ขอบอกว่ารถใหม่มาก มีจอแอลซีดี วิทยุสเตอริโอพร้อมสรรพ ตัวผมกลายว่าต้องมานั่งอยู่หน้าสุดติดกับพระท่าน เพราะเป็นผู้ชายตัวเล็กที่สุดในรถแล้ว เกร็งซะไม่มี ข้างๆก็เป็นพระผู้มีพระคุณก็อยากให้ท่านนั่งสบาย อีกข้างก็เป็นคันเกียร์เผลอหลับไปโดนเกียร์จะยุ่ง

เส้นทางเหมือนจะยาวไกลซะเหลือเกิน เพราะนั่งไม่สบาย แต่พอใกล้จะเข้าวังเวียง ทัศนียภาพรอบๆ ก็ทำผมอึ้ง ตื่นเต้นจนลืมเมื่อย เพราะสองข้างเป็นเขาสูง ป่าทึบเขียวจัด ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า สลับบ้านชาวเขาที่ตั้งอยู่เชิงเขาประปราย ผ่านเมืองใหญ่อย่างกาสี ก็จะเข้าสู่วังเวียง

( ภาพนี้ส่งประกวดครับ )

20 กิโลเมตรก่อนถึงวังเวียง เป็นภาพจำที่ผมจะไม่มีวันลืม ถนนเส้นเล็กที่คนขับบอกว่าเป็นเส้นหลักเส้นเดียวทางสายเหนือ ใครลงใต้ก็ต้องใช้เส้นนี้ ยิ่งดูแคบลงไปอีก ในขณะที่เราลงเนินแล้วทั้งเบื้องหน้าและด้านข้างต่างก็เป็นเขาสูงโอบล้อม ดูตัวเราช่างเล็กยิ่งนัก และนั่นก็เป็นความจริงเสมอ ว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กมากๆ ของธรรมชาติรอบตัวเรา

รถขับบนถนนแหวกขุนเขา เข้าเมืองวังเวียง เราเห็นแนวเขาสูงอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบื้องล่างเป็นลำน้ำซอง ที่ยังใสสะอาด รถจอดให้เราลงในตัวเมือง เราต้องนั่งสามล้อเข้าไปที่พัก ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ริมน้ำ สนนราคามีให้เลือกหลายระดับ หรูๆหลักพันก็มี ส่วนเราขอบังกโลสวยๆ ราคา 500 บาท ในคืนสุดท้ายที่ลาว

เวลาเหลืออีกไม่มากก่อนพระอาทิตย์จะตก เราใช้เวลาที่เหลือนี้เดินลัดเลาะตามริมน้ำ เก็บภาพสวยๆ ตามลำน้ำซอง ไม่มีเวลาพอที่จะเล่นกีฬาทางน้ำที่เป็นที่นิยมที่นี่ เช่นพายเรือคะยัก นั่งเรือเที่ยว หรือ นั่งห่วงยางที่ปล่อยจากต้นน้ำลงมา กิจกรรมเหล่านี้ ถ้ามีโอกาสมาอีกคราวหน้าคงไม่พลาด

เราหาที่นั่งทานอาหารเย็นวิวสวยๆได้ที่เกาะกลางแม่น้ำซอง บรรยากาศตอนพระอาทิตย์ตกดีมากแต่พอมืดแล้ว ยุงและแมลงต่างๆก็มาเบียดเบียนจนนั่งไม่ชิลอีกแล้ว เพิ่งเจอยุงที่ลาวก็ตอนนี้ อยู่หลวงพระบางไม่เห็นมียุงซักตัว เรานั่งอีกสักพักก็เลยเปลี่ยนมาเดินเล่นบนฝั่งดีกว่า

เพื่อนซี้ตัวดี ออกอาการงอแง ไม่อยากกลับซะแล้ว พยายามโน้มน้าวผมครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้อยู่ต่ออีกคืน เพื่อนตัวดีคนนี้ ทีแรกอยู่หลวงพระบางถึงเวลาต้องมาวังเวียงก็อิดออดทีนึงแล้ว พอมาวังเวียงก็ดันติดใจวังเวียงอีก ช่างใจง่ายจริงๆ ก่อนจะมาลาวผมก็บอกแล้วว่า 5 วันมันน้อยไป แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่รอให้เบื่อแล้วค่อยจาก จากไปตอนอารมณ์ชอบสุดๆแบบนี้แหละ จะได้คิดถึงกัน

ผมขอตัวกลับมานอนพักที่ห้องก่อนเพราะไม่ค่อยชอบแสงสีในเมืองสไตล์บาร์เบียร์พัทยาเท่าไร ปล่อยให้เพื่อนลุยเดี่ยวหาฝรั่งคุยด้วยต่อไป นอนเอาแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้วันสุดท้ายที่ลาวดีกว่า

ฝันดีนะ วังเวียงที่รัก