วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

Echo Echo Echo ... เสียงสะท้อนแห่งความนิยมในตัวโซนยอชิแด Run Devil Run Repackage Album - SNSD


( Echo - SNSD Run Devil Run Repackage Album )


จะเรียกว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก หรืออะไรก็ช่าง วันนี้ค่ายเพลง SM entertainment ยักษ์ใหญ่ของเกาหลี จับสาวๆโซชิมาใช้งานอีกครั้งแบบนอนสต็อป เพราะเหล่าแฟนๆของพวกเธอแทบยังไม่เลิกเห่ออัลบั้มที่ใหม่ของพวกเธอ Oh Oh Oh !!! ที่เพิ่งจะร้องตามกันได้ มาวันนี้ถูกจับแต่งตัวใหม่ ออกอัลบั้มตามติดมาอีก ที่ทางต้นสังกัดใช้คำตรงๆว่า Repackage Album เพิ่งเห็นเค้าทำกันก็ครั้งนี้

คนที่เกลียดกระแสเกาหลีคงจะมองว่า นี่เป็นการหากินแบบไม่มียั้ง จับเอาศิลปินแต่งตัวใหม่ จากโทนน่ารักใสๆ มาเป็นเป็นแบบผู้ใหญ่ขึ้น เพิ่มเพลงใหม่ซัก 2 เพลง ที่เหลือก็เปลี่ยนดนตรีซักเพลงสองเพลง เสร็จแล้วก็ได้เวลาโปรโมตกันอีกรอบ มันก็ความจริงคงไม่มีใครเถียง

แต่ศิลปินที่จะทำแบบนี้ได้ ก็คงต้องดังเอามากๆ แฟนเยอะมากๆ มีคนคอยฟังคอยอุดหนุนเยอะมากๆ และไม่เกี่ยงที่ศิลปินที่ชื่นชอบจะร้องเต้นเพลงเดิมที่พวกเค้าชื่นชอบซัก 8 เพลง นี่คือปรากฏการณ์ ที่เกิดจากแฟนเพลงแท้ๆ ไม่ได้มาจากค่ายเพลงฝั่งเดียวซะเมื่อไหร่



( Star Star Star - R&B Version Repackage Album )
ผมเองฟังทั้งสองเพลงใหม่แล้ว สำหรับ Run Devil Run เฉยๆกับตัวเพลงครับ ดูลุคที่เปลี่ยนไปของสาวๆโซชิแล้วคิดว่ายังไม่เหมาะ เอาแบบน่ารักใส่ๆ ใส่มินิสเกิร์ต อะไรแบบนั้นน่าชมกว่าเยอะ ส่วนอีกเพลง Echo แค่ได้ฟังยังไม่เห็นเอ็มวี บอกเลยว่าแค่ฟังก็โดนแล้ว

ไม่จำเป็นต้องฟังรู้เรื่องทั้งหมด เดาๆจากท่อนภาษาอังกฤษ ที่ตอนนี้ค่ายเพลงต่างชาติมักจะใส่ลงไปในเพลงเพื่อแฟนเพลงประเทศอื่นจะได้เข้าใจความหมายคร่าวๆ ว่าร้องถึงเรื่องราวอะไร สำหรับ Echo ผมเสิร์ชเจอเนื้อเพลงที่แปลเป็นภาษาอังกฤษพอจะอ่านเข้าใจได้ประมาณนี้ครับ เนื้อเพลงน่ารักทีเดียว

Echo - Girl's Generation Run Devil Run Repackage Album
Echo, echo
(Echo, echo) What kind of man are you?!
You keep thinking that all girls belongs to you! (Echo-oh~, echo-oh~)

I’ve never met a person like you
You make my heart flutter
But all you do is think about the other girls
I can see it all with my eyes.

Thinking that all girls belongs to you.
Assuming that everyone will like you.
The people who are around are oblivious.
Here and there, you sweet words,

Echoes, echoes, echoes, echoes
Your voice keeps bothering me like an
Echoes, echoes, echoes in my mind
I tried so hard to block it but it’s like an
Echoes, echoes, echoes, echoes
It wasn’t meant for me so why am I acting like an idiot and it’s like an
Echoes, echoes, echoes in my brain
It sounds as if you’re talking to me, now I’m starting to like you!

It’s a crime to be clueless.
No matter how much I shout in my mind,
You can’t hear it because it’s part of the penalty.
But it’s not that easy to give up either.

You start your game once you leave home.
Girls who’re passing by are so fine.
Once they are hooked, you put your moves on
Here and there, your sweet words

Echoes, echoes, echoes, echoes
Your voice keeps bothering me like an
Echoes, echoes, echoes in my mind
I tried so hard to block it but it’s like an
Echoes, echoes, echoes, echoes
It wasn’t meant for me so why am I acting like an idiot and it’s like an
Echoes, echoes, echoes in my brain
It sounds as if you’re talking to me, now I’m starting to like you!

If you wish for the best of us then throw your hands up!
(Throw your hands up!)
If you think you can treat me better than he did then throw your hands up!
(Throw your hands up-up-up! Throw your hands uhhhh-up~~!)

Echoes, echoes, echoes, echoes
Your voice keeps bothering me like an
Echoes, echoes, echoes in my mind
I tried so hard to block it but it’s like an
Echoes, echoes, echoes, echoes
It wasn’t meant for me so why am I acting like an idiot and it’s like an
Echoes, echoes, echoes in my brain
It sounds as if you’re talking to me, now I’m starting to like you!

Echo, echo, echo, echo!
Your voice keeps bothering me!
Echo, echo, echo, echo!
Hey you womanizer, try to be nice to me too!
Echo, echo, echo, echo (my love~)
Echo-oh, echo-oh (my love~)

Original Lyric Source: Daum Music

กระเซ้าเย้าแหย่กันตามประสาสาวๆ ที่พูดถึงหนุ่มๆ แต่ไม่ได้กระแทกแรงๆเหมือนพี่ปาน ร้องถึงผู้ชายนะครับ บางทีคนละคนมองในเรื่องเดียวกัน ก็ได้อารมณ์ต่างกันแล้ว เชื่อเหลือเกินว่า Echo จะดังไม่แพ้เพลง Oh , Tell me your wish และ Gee ก่อนหน้านี้ คงได้เห็นสาวโซชิ โปรโมตกันตลอดทั้งปีนี้ ปีนึงออกสองอัลบั้ม ฟังให้เบื่อกันไปข้างนึงเลย แต่ถ้าทางจะยากครับ

น่ารักแบบนี้จะรีแพคเกจอีกกี่รอบ ก็รักครับ
Echoes, echoes, echoes in my brain
It sounds as if you’re talking to me, now I’m starting to like you!



( Run Devil Run - SNSD Repackage Album )

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

โรงเรียนเก่า ... กับสาวน้อยประถม 4

( โรงเรียนเทเวศร์วิทยาลัย แถวศาลาว่าการกรุงเทพ ครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงเรียนดังย่านพระนคร ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดรถ และที่วางพระของร้านขายสังฆภัณฑ์ระแวกนั้น )

ไม่รู้ว่าจะมีใครเป็นอย่างผมบ้าง ที่ชีวิตยังต้องวนเวียนอยู่ในที่ที่ผูกพันมาตั้งแต่เกิด ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่วันนี้ผมยังทำงานอยู่ใกล้ๆกับบ้านที่ผมเกิด และเช่าวางของในบ้านที่ผมอยู่ตอนประถม ยังหาข้าวเช้ากินอยู่แถวพาหุรัด ตรงข้ามโรงเรียนสวนกุหลาบที่คุ้นเคย และยังต้องเช่าที่จอดรถอยู่ในโรงเรียนเทเวศร์วิทยาลัยเดิม ( อยู่แถวๆ เสาชิงช้า ศาลาว่าการกรุงเทพ ตรงข้าม สน. สำราญราษฎร์ ) วันนี้กลายเป็นที่จอดรถไปแล้ว

( อาคารเรียนเก่า ที่เห็น 2 ชั้น เคยเป็นห้องสมุดของโรงเรียน ด้านล่างเดินเข้าไปตรงรถตู้สีขาวเป็นโรงอาหาร ก่อนซื้อต้องมาแลกเหรียญพลาสติกเล็กๆ เหมือนชิป เดี๋ยวนี้ไม่เห็นโรงเรียนไหนทำแล้ว )

ผมใช้ชีวิตการเรียนกับ " โรงเรียนเทเวศร์วิทยาลัย " แห่งนี้ นานที่สุด คือตั้งแต่อนุบาลไปถึง ป.6 รวมแล้วก็ 8 ปี จริงๆแล้วความผูกผันขนาดนี้ น่าจะทำให้ผมมีความทรงจำมากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ แต่ด้วยเพราะขาดการติดต่อจากเพื่อนๆ และคุณครู เนื่องจากโรงเรียนยุบไปหลังจากผมเรียนจบไม่กี่ปี แต่ถึงแม้จะติดต่อใครไม่ได้อีก ผมก็ยังรำลึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นสมัยวัยเด็ก ที่โรงเรียนแห่งนี้ ผ่านการเพ่งมอง อาคารเรียนเก่า และใช้จินตนาการ

( อาคารเรียน 4 ชั้นเพียงพอกับนักเรียนตั้งแต่อนุบาล ถึงประถม 6 ช่วงที่ผมอยู่เริ่มลดมัธยมต้นลงแล้ว และเมื่อผมเรียนจบไปไม่กี่ปี โรงเรียนก็ปิดตัวลง )

ภาพลางที่ผมเห็นคือ ถ้าตอนเด็กมากๆ แม่จะพาผมเดินจากบ้านที่อยู่แถวพาหุรัด เดินไปเรื่อยเปื่อยหาข้าวกินแถวตลาดตรอกหม้อ แล้วค่อยเดินเข้าโรงเรียน พออยู่ประถมปลายเริ่มจะโตหน่อยแล้ว เดินไปเองได้ บางทีขี้เกียจก็จะนั่งรถเมล์ไปลงแถว โรงเรียนเบญจมราชาลัย แล้วค่อยเดินเข้าโรงเรียน ไม่รู้ว่าที่นั่งรถเมล์น่ะ เพราะขี้เกียจจริงๆ หรือว่าเริ่มโตเป็นวัยรุ่นแล้วอยากไปมองสาวโรงเรียนเบญจมราชาลัยกันแน่

( ยอดอาคาร 4 ชั้น ยังเห็นเสาสำหรับธงชาติ ที่ตรงนี้เราต้องมายืนเคารพธงชาติกันทุกเช้าก่อนเข้าเรียน ผมเรียนมาแล้วทุกชั้น ป.ต้นเรียนชั้นล่างๆ ป.ปลายเรียนชั้นบนๆ ชั้นหนึ่งมี 2 ห้อง )

ถึงโรงเรียนอันดับแรกที่พอจะจำได้ก็คือ เข้าห้องเรียนแล้วหาว่า " เธอ " คนนั้นนั่งที่ไหน เธอคนที่เรียนกับผมตั้งแต่อยู่อนุบาล ไม่จำเป็นต้องเห็นตัวเพราะผมจำกระเป๋าของเธอได้ และเธอก็ไม่ค่อยจะเปลี่ยนที่นั่งนัก แล้วก็จะพาตัวเองไปนั่งใกล้ๆ ไม่ถึงกับนั่งข้างๆ เพราะจะดูจงใจเกินไป

( ลานตรงนี้ ตอนเย็นจะให้เด็กนักเรียนเตะบอลได้ นอกจากเตะบอลแล้วกีฬายอดฮิต สำหรับคนนิยมความซาดิสม์อีกอย่างคือ โบราณเรียกชื่อ และอัดมั่ว ใช้ปิงปองโยนขึ้นไปแล้ว คนโยนต้องเรียกชื่อเพื่อน หากเพื่อนมารับไม่ทันภายใน 2 เด้ง ต้องโดนทำโทษ เอาปิงปองปาเข้าไปที่น่อง แต่ถ้ารับได้ก็สามารถปาอัดไปที่เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆได้ เด็กสมัยนี้คงไม่รู้จักแล้ว )

นี่คงไม่อาจเรียกได้ว่า มันคือรักครั้งแรก ตอนนั้นคงยังไม่รู้จักหรอกว่า รัก คืออะไร ( ถึงวันนี้ก็ยังนิยามไม่ได้อยู่ดี ) รู้แค่ว่า อยากไปโรงเรียน อยากไปนั่งใกล้ๆ อยากไปแกล้ง ไปแซว ไปเล่นอะไรก็ได้กับเธอ และแม้จะโดนตบตี หยิกจนเขียวช้ำไปทั้งแขน ( แต่ต้องบอกแม่ว่าต่อยกับเพื่อนผู้ชาย ) ก็ตามที แต่ก็เหมือนจะยินดีให้เธอทำแบบนั้นทุกวัน

มุกเดิมๆ ก็ล้อชื่อพ่อ ชื่อแม่ และการแต่งตัวของเธอในบางครั้ง เพื่อยั่วให้เธอวิ่งไล่กวด อย่างทอมกะเจอรี่ แล้วสุดท้ายก็ต้องยอมให้เธอจับได้ แล้วก็ตบตี เป็นความสุขอย่างประหลาดของผม และเชื่อว่าก็คงมีหลายคนที่ชอบเจ็บตัวแบบนี้

หรือว่า เด็กป.4 จะมีความรู้สึกกับเพศตรงข้ามแล้ว และยินดีที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เราชอบ ... นั่นก็น่าจะใช่หากวิเคราะห์กันตามการพัฒนาการของเด็กวัย 10 กว่า ที่ย่างเข้าวัยรุ่นแล้ว ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ที่เห็นมีข่าวบ่อยๆ ว่าเด็กประถมท้อง หรือไม่ก็เห็นเด็กประถมควงกันตามห้างก็มีบ่อยไป

( ระเบียงปูนที่ยื่นออกมาจากตัวตึก หากใครทำของหล่นลงมา ก็ต้องวัดความกล้าว่าใครจะรอดออกไปเก็บริมระเบียง ไม่สมควรทำอย่างยิ่งครับ แต่กฏก็มีไว้แหกอยู่เสมอ )

ทุกเช้าหลังเคารพธงชาติ ก็จะสวดมนต์และร้องเพลงโรงเรียน ผมยังจำได้คร่าวๆ

" สถานการศึกษา เพาะปัญญาพวกเราแจ่มใส .... เทเวศร์วิทยาลัย เทเวศร์วิทยาลัย จากไปอยู่ทิศใด นามนี้เตือนใจให้ระลึกคุณตลอดกาล ... " จำได้แค่นี้จริงๆ

จริงๆแล้วก่อนหน้า " เธอ " คนนี้ ผมยังมีความทรงจำตลอดกาล อีกอันหนึ่ง คือสมัยอนุบาลที่เด็กทุกคนต้องกินนม เสร็จแล้วก็นอนกลางวัน ฟูบเล็กๆถูกเรียงเป็นแถว 2 แถวเอาหัวชนกัน ชายแถว หญิงแถว หัวเรากับเธอคนนั้นก็ชนกันอยู่ เรื่องไม่ได้เกิดกับผมกับเธอ แต่ดันไปเกิดกับเพื่อนของเธอ ที่ก็ไม่รู้ว่าทำไปเพราะชอบ หรือว่ามันเขี้ยวตามประสาเด็ก คืออยู่ๆ เพื่อนเธอที่นอนเยื้องๆกับผมก็เงยหน้าข้ามฝั่งมา แล้วก็โขมยจุ๊บผม ทำเอาเสียบริสุทธิทางแก้ม ตั้งแต่อยู่อนุบาล นั่นเป็นครั้งแรก นอกจากพ่อแม่พี่น้อง ที่ทำกะผมแบบนั้น เธอเองก็เชียร์อยู่ข้างๆ คงสะใจอยู่ มันทำให้ผมจำจนทุกวันนี้

เราเรียนอยู่ด้วยกันตั้งแต่อนุบาล แต่ก็มีบางปีที่ย้ายไปอยู่ต่างห้องกันบ้าง และก็กลับมาเรียนด้วยกันอีกครั้งตั้งแต่ ป.4 ถึง ป.6 ถ้าจะเลือกว่า รักครั้งแรกอย่างหนังแฟนฉันของผมเป็นใคร ก็คงต้องเป็นเธอคนนี้ จริงๆแล้วยังจำทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง และนามสกุลของเธอได้ แต่กูเกิ้ลก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเธอคงไม่ได้เล่นอะไรที่ลงข้อมูลในเนต ยังเสิรชข้อมูลของเธออยู่เนืองๆ เพราะอยากรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว มีลูกกี่คนแล้ว ... เดาว่าอายุขนาดนี้คงมีสามีไปแล้วล่ะ

( ปูนลอกร่อน ดูไม่งามตา แต่ทำให้ใครบางคนนึกถึงเรื่องราวในอดีตได้เสมอ )

ความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะเรียนจบ คือ เราทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระ และไม่คุยกันเป็นเดือนแล้ว แต่ก่อนที่จะจากกันวันสุดท้าย วันเรียนวันสุดท้ายเราดันต้องมาทำเวรด้วยกัน มาถึงเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ต้องยกขึ้นวางบนโต๊ะ เราจับที่เก้าอี้พร้อมกัน ( แบบที่ผมแอบตั้งใจอยู่เล็กน้อย ) กับคำสุดท้ายที่พูดก็คือ " เราดีกันนะ "

และแม้จะมีเบอร์โทรของเธอ แต่ก็ไม่กล้าเพราะตอนนั้นมีแต่โทรศัพท์บ้านที่กว่าจะต่อติดก็ต้องผ่านด่านพ่อแม่พี่น้อง โทรทีเดียวรู้กันทั้งบ้าน จริงๆ ทางบ้านคงไม่ได้ห้ามคุยกับเพื่อน แต่กลัวโดนแซวมากกว่า เดือน ปี ผ่านไป เราเริ่มขาดการติดต่อ จนถึงวันนี้ก็ไม่ได้คุยไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเลย

เกือบ 20 ปีแล้วแต่ผมยังจำหน้าเธอ ตอนประถมได้ คาแรคเตอร์ไม่ได้ห่างจากน้องโฟกัสในแฟนฉันมากนัก หลายๆอย่างในแฟนฉันเกิดขึ้นกับผมซึ่งอยู่ในยุคเดียวกัน เด็กหญิงคนหนึ่งท่าทางแก่นแก้ว ถักเปียยาวสองข้าง มีกลิ่นหอมจากแป้งน้อยๆ เวลาที่เดินผ่าน และมือหนักอย่างบอกใคร จะผ่านไปอีกกี่ปี ผมก็ยังอยากจะจำได้แบบนี้

..............................................................................................................

บ้านเล็ก http://lotslikelove.blogspot.com/

..............................................................................................................

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตีแตก!!! ต้องแบบนี้ ... ผักทอดสูญญากาศ Greenday จริงหรือที่ธุรกิจจะต้องเอาการตลาดนำอย่างเดียว

ยังคงทำรายการได้น่าสนใจอย่างต่อเนื่องนะครับ สำหรับ SME ตีแตกของคุณปัญญา ที่ผมเขียนถึงหลายครั้งแล้ว เทปล่าสุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา น่าสนใจเป็นพิเศษ เลยขอเขียนถึงอีกครั้งครับ

ที่ว่าน่าสนใจก็ตรงที่ผู้บริหารนี่แหละครับ เป็นหนุ่มอายุ 20 ปลายๆ 3 คนที่ก็คงเป็นเพื่อนกันแล้วมาทำธุรกิจด้วยกัน มีคนหนึ่งที่เป็นกรรมการผู้จัดการ ที่น่าจะเป็นตัวหลักของทีม ผมไม่ทราบประวัติของผู้บริหารคนนี้นะครับ แต่เท่าที่ดูบุคคลิกท่าทาง การพูดจา การตอบคำถาม สิ่งที่ตอบออกมา ความคิดที่แสดงออกมา ทำให้พอจะเดาได้ว่า น่าจะศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ หรือ บริหาร มาอย่างดี เป็นเอ็มบีเอสไตล์โดยแท้ ความมั่นใจในตัวเองสูงมาก

ตัวธุรกิจก็คือ บริษัท Greenday ผลิตและจำหน่ายของขบเคี้ยว ที่ทำจากผักและผลไม้อบแห้ง แต่ด้วยเทคนิคพิเศษที่ทางบริษัทใช้คำว่า ทอดในสูญญากาศ ที่จะทำให้ใช้ความร้อนในการทอดน้อยกว่าปกติ ก็จะช่วยให้คุณค่าทางอาหารของผักผลไม้นั้นยังคงอยู่ได้มากกว่าปกติด้วย

สินค้าที่กรีนเดย์ภูมิใจเสนออย่างแรง และน่าจะเป็นสินค้าที่ตรงคอนเซ็ปท์บริษัทที่สุด แถมยังเคลมด้วยว่าเป็นรายแรกของโลกที่ทำสินค้าตัวนี้ออกจำหน่าย นั่นก็คือ บร็อคโคลี่อบแห้ง ( ทอดสูญญากาศ ) ซึ่งกำลังไปได้สวยในตลาดต่างประเทศ โดยสัดส่วนตลาดต่างประเทศรวมทุกผลิตภัณฑ์สูงถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด ค่อนข้างชัดเจนว่า บริษัทนี้ให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากกว่า และยังต้องปั้นสินค้าในประเทศต่อไป

จริงๆแล้วถ้าใครได้ติดตามข่าวสารทางด้านการค้นคว้าวิจัยก็คงจะเคยได้ยินถึงเทคนิคที่ว่าอยู่บ้าง รวมไปถึงเทคนิคอื่นๆ ที่ทำให้ผัก ผลไม้ ที่มีมากมายของไทยเรา อยู่ในสภาพแห้ง เก็บได้นาน ยังคงคุณค่าทางอาหารไว้ได้ อย่างง่ายๆที่เราได้ผลไม้อบแห้ง สินค้าโอท็อป ซึ่งก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง

แต่สำหรับบริษัทน้องใหม่รายนี้ ได้ทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก้าวไปอีกขั้น การทำโรงงานให้ได้มาตรฐาน ทันสมัย การใส่ความคิดเข้าไปในทุกๆกระบวนการตั้งแต่วัตถุดิบ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการหาช่องทางการตลาดทั้งในและนอกประเทศ และเท่าที่ดูรายการมาตั้งแต่ต้น ก็เห็นว่าผู้บริหารสามารถคิดวางแผน และดำเนินการจริงได้อย่างน่าชมเชย

ในทุกครั้งก็จะเชิญกรรมการคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจที่ใกล้เคียงกับผู้แข่งขัน แต่ทำมาก่อนและใหญ่กว่ามากมาตั้งคำถามและตัดสินด้วย ครั้งนี้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์โก๋แก่ ที่คนไทยทุกคนรู้จักอยู่แล้ว กรรมการท่านนี้ถามตรงจุดที่ว่า สิ่งที่กรีนเดย์เรียกว่าเป็นนวัตกรรมนั้น ในความเห็นของกรรมการไม่ได้คิดว่ามันมีอะไรใหม่ ใครก็เลียนแบบได้ ผู้บริหารกรีนเดย์ตอบกลับได้อย่างฉะฉาน มั่นใจในเทคโนโลยีการผลิตของตัวเอง และรสชาติที่ถือว่าเลียนแบบกันไม่ได้

ผมขอสนับสนุนอีกว่า หากมันทำตามกันได้จริงๆ คงได้เห็นโก๋แก่ ทำถั่วลันเตา ถั่วแอลมอนด์ แมคคาเดเมีย สารพัดถั่วไปมากมายแล้ว แต่ที่โก๋แก่ไม่ได้ขยายไลน์ไปมากขนาดนั้น ก็เพราะจริงๆแล้วก็คือ คนเราทำทุกอย่างไม่ได้ มันต้องเลือกสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด ที่กำลังตัวเองจะทำไหว ไม่เกินตัวหัวใจของความพอเพียงมิใช่หรือ

คำถามหนึ่งจากอาจารย์ธัญวัฒน์ ( ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกรึเปล่านะครับ ขออภัยครับ ) คือว่า ยอดขายที่มากมายจนเหมือนผูกขาดตลาดอยู่เวลานี้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะผูกขาดได้ตลอดไป หากรายใหญ่ลงมาทำจะเป็นอย่างไร แน่ใจหรือที่จะนำสินค้าตัวนี้เข้าไปขายในเซ่เว่น พร้อมแล้วหรือ คำตอบที่โดนใจผมจริงๆก็คือ ในระยะยาวแล้ว เราทุกคนก็ตายทั้งนั้น สำคัญที่วันนี้ทำดีที่สุดแล้ว อนาคตก็เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมการไว้ จริงๆก็เข้าใจอาจารย์ถึงบทบาทที่ต้องมีในรายการนะครับ แล้วก็เป็นเรื่องดีที่ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมแผนรับมือไว้

แต่ ... ก็ไม่ผิดใช่มั้ยครับ ถ้าผู้ประกอบการคนหนึ่งจะคิดทำธุรกิจที่มีพื้นฐานจากการคิดนำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างการไปสู่บริโภค ทดแทนการบริโภคของขบเคี้ยวที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหาร และก็ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การผลิต ไปถึงเรื่องของการตลาดได้อย่างดีแล้ว ที่สำคัญคือแต่ละก้าวที่ก้าวไปจะยึดหลักความพอเพียง คือไม่ทำอะไรที่เกินตัวเกินความสามารถ เกินกำลังเงินทุน หากก้าวได้อย่างมั่นคงแบบนี้จะยังต้องกลัวอะไรอีก รายใหญ่ทุนเยอะก็ยังต้องแพ้ให้กับรายเล็กที่แข็งแกร่งแบบนี้มาแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้กับผุ้บริหารกรีนเดย์ด้วยครับ คุณทำให้ผู้ชมอย่างผมรู้สึกดีกับธุรกิจคุณเอามากๆ และถ้าได้วางอยู่ในเซเว่นแล้วจริงๆ ในราคาที่สมเหตุสมผล ผมจะขอเลือกบร็อคโคลี่อบแห้งของคุณแทนมันฝรั่ง หรือว่าพวกแป้งทอดกรอบใส่ผงชูรสที่แพงไร้เหตุผลแถมยังทำลายสุขภาพผู้บริโภคอีก

ผู้สนใจลองเข้าชมเว็บของกรีนเดย์ได้ครับ ไม่ได้เป็นอะไรกับผมและไม่มีค่าโฆษณาให้ผมนะครับ แค่เห็นว่าทำดีก็อย่างบอกต่อ ขอบคุณภาพจากเว็บของบริษัทด้วยครับ http://www.greenday.co.th/

.............

ขอเชิญเข้าชมบ้านเล็กของ lotslikelove ได้ที่ http://lotslikelove.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

เมื่อหนุ่มๆ แมนไม่พอ ... เลยถึงทีของสาวห้าวอย่าง ซานิ

ไม่ได้ดูกันล่ะสิครับ สำหรับเอเอฟซีซั่นนี้ จะเพราะเหตุผลว่าไม่เคยคิดจะดูอยู่แล้ว หรือเพราะซีซั่นนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง โดยเฉพาะทีมงานตั้งแต่ทีมคัดเลือก เทรนเนอร์ เรื่อยไปถึงคอมเมนเตเตอร์ บ้างก็ว่าดีขึ้นเป็นมืออาชีพ บ้างก็ว่า ขาดรสชาด ขาดสีสันไปเยอะ นานาจิตตังครับ

ยิ่งรอบชิงที่จัดเอาคืนวันที่เสาร์ที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ตอนเห็นโปรแกรมแล้วก็นึกในใจว่าผู้จัดได้ดูข่าวด้านอื่นรึเปล่า นั่นมัน 3 ปีรัฐประหาร และ เค้าจะชุมนุมใหญ่ทวงของคืนกันวันนั้น แต่เมื่อผ่านไปได้ด้วยดีทั้งสองงาน จึงขอชื่นชมผู้จัดว่าอ่านเกมขาดดีเหลือเกิน

แต่ถึงที่ชุมนุมจะเกิดเหตุการณ์ที่ใครๆกังวลอยู่ ทางทรูก็คงไม่กลัวอยู่แล้ว เพราะกองเชียร์เอเอฟนั้น เป็นที่รู้กันว่าเทใจเชียร์กันขนาดไหน ถ้าไม่เห็นรถถัง และคอนเสิร์ทยังดำเนินต่อไป คงหยุดกองเชียร์เหล่านั้นไม่ได้

และตัวเต็งอย่างสาวห้าว ซานิ ก็คว้ารางวัลชนะเลิศไปครอง ด้วยความสามารถทั้งด้านการร้อง และการแสดงบนเวที ที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เป็นตัวตัดสินอย่างแท้จริง นั่นคือตัวตนของ ซานิ ที่ทำให้เธอเป็นที่ประทับใจของผู้ชมตลอดเวลาที่เธออยู่ในบ้าน

ด้วยความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่กว่าใครๆในบ้าน นิสัยที่กันเอง จริงใจ ตรงไปตรงมากับทุกๆคน ความตั้งใจ มุ่งมั่น ใกล้เคียงกับระดับมืออาชีพ บุคลิกต่างๆไม่ว่าจะกินจะนอนจะนั่งจะเดิน สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มัดใจกองเชียร์ได้อยู่หมัด

ไม่น่าเชื่อว่าตัวตนเหล่านี้ ถูกบรรจุอยู่ในร่างเล็กๆ ของผู้หญิงที่ชื่อซานิ ทั้งที่มันน่าจะบรรจุอยู่ในผู้เข้าแข่งขันชายคนใดคนหนึ่ง แต่ก็เปล่า เพราะที่เห็นนั้นบางคนก็แอ๊บสาว บางคนก็เรียบร้อย บางคนดูเป็นคุณหนู จนไม่ได้แสดงความ " แมน " ออกมาให้ชัด อย่างที่ซานิเป็น ( ขออภัยแฟนคลับนักล่าฝันฝ่ายชายไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ คือในมุมมองผมไม่ใช่ว่าไม่แมนนะครับ แต่แมนสู้ซานิไม่ได้ )

และล่าสุดเธอได้มาให้สัมภาษณ์แบบสดๆร้อนๆ หลังรับรางวัลชนะเลิศที่ไนน์เอ็นเตอร์เทน คำสัมภาษณ์ที่ยังชัดเจน ตรงไปตรงมาสไตล์ซานิ เธอว่าเธอเป็นแบบนี้ เป็นตัวของตัวเองไปเลยดีกว่าที่จะมาเสแสร้ง เพราะหากวันนึงที่เหนื่อยล้าจนไม่สามารถรักษาสิ่งที่แต่งเติมนั้นได้ ในที่สุดตัวตนที่แท้จริงก็จะเผยออกมาอยู่ดี

ใจความสำคัญที่ผมขอนำมาบอกต่อ นั่นคือ ข่าวที่เธอเป็นทอม นั้นความจริงแล้วเป็นอย่างไร

เธอว่า " เธอเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ใครจะจำกัดความ เธอเปิดกว้างในการคบหาใคร ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นชาย เป็นหญิง เป็นเพศที่สาม ที่สี่ ขอแค่เป็นคนดีและจริงใจกันเท่านั้น " ...

( แบบนี้แทบจำไม่ได้ ... เป็นสาวได้เหมือนกัน )

สังคมของเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา น้องซานิ คนนี้เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของการเปลี่ยนแปลง เธอทำให้เห็นว่าแม้ร่างกายเป็นหญิง ก็สามารถแสดงความ " แมน " ออกมาได้ คงไม่ใช่ว่าวัยรุ่นไทยโดยเฉพาะสาวๆ จะไปหลงไหลได้ปลื้มกับทอม สาวห้าว สาวหล่อ

ถ้ามองในแง่ดี นี่น่าจะเป็นสิ่งอยู่ลึกเข้าไปข้างในจากรูปร่างหน้าตาต่างหาก ที่ทำให้คนรัก คนชื่นชม เป็นเรื่องดีที่เราจะให้ความสำคัญกับความสามารถ จิตใจ และตัวตนของใครๆมิใช่หรือ และที่เหลือคือความหล่อ ความสวย ความเท่ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ และการศัลยกรรมกันไป

เพราะถึงหล่อสวยให้ตายอย่างไร แต่ถ้านิสัยแย่ และไร้ความสามารถ คนทั่วไปก็จะมองว่ามันเป็นแค่ " เปลือก " รอวันจะเป็น " กาก " เท่านั้น

ขอลาไปด้วยการแสดงครั้งแรกของซานิ ที่ทำให้ใครต่อใครต้องจับตามอง และกลายเป็นตัวเต็ง ณ ตั้งแต่วันนั้น เพลง ไม่รักดี ครับ ยินดีด้วยครับซานิ

( ขออภัยผู้อ่านนะครับ วันนี้รู้สึกอยากเขียนให้มันคม แต่อ่านไปแล้วมันรู้สึกว่า ทื่อๆ ทู่ ๆ ยังไงไม่รู้ )

ไข่ไก่เบอร์ 0 ที่คาร์ฟูร์

วันอากาศดีๆแบบนี้อยากจะโชว์ฝีมือทำอาหารสักหน่อย ก่อนกลับบ้านแวะซื้อของที่คาร์ฟูร์ ตรงไปยังชั้นวางวัตถุดิบหลักของวันนี้ นั่นคือไข่ไก่ ซุ้มใหญ่ดูเด่น เหมือนตั้งใจมาทำโปรโมชั่น

ผมตรงเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นไข่ใบใหญ่สะใจดี ดูตามป้ายเขียนว่า "ไข่ไก่สด สะอาด เบอร์ 0 ราคาพิเศษ 15 ฟอง 59 บาท" ราคาน่าสนใจ เลยถามพนักงานขาย ว่าเก็บไว้ได้นานมั้ย เพราะมองที่ฉลากไม่เห็นวันหมดอายุ พนักงานหญิงวัยกลางคนตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ไว้ได้เป็นเดือนค่ะ

ผมเริ่มคิดในใจว่า ไม่ยักรู้ว่าไข่มันเก็บกันได้เป็นเดือน แต่ไม่เป็นไรแค่ 15 ฟอง ไม่เกินอาทิตย์ก็หมดแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจนัก ว่าแล้วก็เตรียมจะหยิบซัก 1 แพ็ค เสียงจากพนักงานคนเดิมเอ่ยขึ้นว่า

" แพ็คนี้มั้ยคะ ใบใหญ่ดี " ผมมองไปรอบๆ แพ็คที่ว่านี้เป็นแพ็คที่เปิดฝาเอาไว้เพียงแพ็คเดียว นอกนั้นปิดสนิททุกแพ็ค นึกในใจต่อว่า จะบอกว่ามันใบใหญ่ดีทำไม ก็ในเมื่อมันเบอร์เดียวกันหมด ก็ใหญ่เท่ากันหมดสิครับป้า คุณป้าพนักงานไม่รอช้า " เอาแพ็คนี้นะคะ เดี๋ยวป้าเอาหนังยางรัดให้ "

ไอ้ผมล่ะก็เออ ออ ก็ขี้เกียจจะเรื่องมาก ทั้งๆที่สันชาตญาณมันบอกว่า แพ็คที่มันต้องมีอะไรทะแม่งๆแน่ๆ ถึงได้เชียร์กันผิดปกติ ทั้งๆที่หยิบแพ็คไหนมันก็เหมือนๆกัน ผมจะลองทดสอบสันชาตญาณดูสักครั้ง คุณป้าพนักงานบรรจงวางลงในตะกร้าของผมอย่างระมัดระวัง พร้อมกับกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง

กลับมาถึงบ้านจับเรียงใส่ตู้เย็น คุณผู้อ่านคงคิดได้เหมือนผมว่ามันต้องเจออะไรแน่ๆ ไม่เลวร้ายนักครับ แค่แตกจนไข่ขาวทะลักออกมา 1 ฟอง และร้าวอีก 2 ฟอง ทั้งหมดหันด้านสวยๆ ไว้ข้างบน

ไม่รู้ว่าคุณป้าพนักงานทำแบบนั้นเพื่ออะไร คิดๆไปก็คงเป็นได้ว่า ถ้าคุณป้าทำแตกคงต้องชดใช้ เลยต้องพยายามขายใบที่แตกออกไปให้ได้ และเรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้กล่าวหาคาร์ฟูร์นะครับ มันคงเป็นที่ตัวพนักงานแต่ละคนมากกว่า

ที่เขียนมาไม่ใช่เพราะอารมณ์เสีย ที่ได้ไข่แตกไข่ร้าวมา แต่ผิดหวังที่เรื่องแบบนี้มันยังฝังอยู่ในนิสัยคนไทยจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ยึดเอาความซื่อสัตย์ เอาแต่ยิ้มสวยๆ พูดจาหวานๆ กลบเกลื่อน

ถ้าพูดห้วนๆ แต่ซื่อสัตย์จริงใจ ประเทศไทยจะเจริญกว่านี้ ( มั้ยครับ )

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 1 ... วันจันทร์ ที่จุดสูงสุดแดนสยาม

หลังจากผ่านปีที่เหนื่อยล้า ปีที่เจอปัญหารุมเข้ามามาก เครียดแล้วเครียดอีก ท้อแล้วท้ออีก แต่ก็ค่อยๆ แก้ทีละปัญหา ประคับประคองจนผ่านมาได้ ขึ้นปีใหม่มานี้ อะไรๆก็ดูเป็นใจมากขึ้น กำลังใจเริ่มกลับมาอีกครั้ง

ผมทยอยสะสางงานที่ยังค้างคา จนได้เวลาว่างเหมาะๆ ได้ 5 วันเต็มๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวแบบชิลๆ ที่เชียงใหม่ทั้ง 5 วัน ใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องรีบร้อน ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่ เพราะครั้งสุดท้ายที่ไปมันก็สิบกว่าปีผ่านมาแล้ว ความทรงจำที่เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ได้นั่งรถไฟไปกับพ่อน่าจะเป็นช่วงที่รถไฟสปรินเตอร์ยังใหม่ๆอยู่

ผมได้บอกกับเพื่อนๆ ว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่คนเดียว เสียงตอบรับร้อยทั้งร้อยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ว่าเพื่อนเราเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย ผมก็บอกไปว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ก็แค่อยากไปพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศแค่นั้น แล้วบังเอิญว่าคุณๆ ก็มีลูกเมีย มีการงานต้องทำ แล้วใครจะว่างไปกับผม จะรอให้ว่างแล้วไปพร้อมกัน ป่านนั้นคงหมดอารมณ์แล้ว และไปครั้งนี้ก็ไม่ได้วางโปรแกรมอะไรเป๊ะๆ คือคิดเพียงว่า ณ ขณะนั้น ถ้าอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป แค่ปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ แบบนี้ถ้าไปกับคนอื่นเกรงว่าจะไม่ได้อย่างใจ

สืบค้นข้อมูลมาได้หลายอย่าง พอจะเห็นจุดหมายคร่าวๆ ส่วนใหญ่แล้วก็คงตระเวนกินเที่ยวอยู่ในเมือง เพราะเจตนาคือตั้งใจไปชิล แต่ถ้าไปแล้วไม่ขึ้นดอยสุเทพก็คงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะรวมเอาดอยอินทนนท์ไปอีกซักหนึ่งที่ พอเห็นโปรแกรมแล้วก็เริ่มหวั่นๆ ว่าตกลงจะชิล หรือจะลุยกันแน่ ส่วนการเดินทาง จากทีแรกที่ลังเลว่าจะเป็นรถไฟ หรือจะเป็นรถทัวร์ดี ก็ตกลงปลงใจที่รถทัวร์ ด้วยเงื่อนไขเวลา และมีที่นั่งเหลือเฟือ สำหรับการเที่ยววันธรรมดาแบบนี้

พอยิ่งมีข้อมูลเยอะ แผนการเดินทางก็เริ่มจะซับซ้อน ผมตัดสินใจเลือกรถทัวร์ที่จะไปดอยเต่า - จอมทอง เดินทางค่ำวันอาทิตย์ แล้วต่อรถสองแถวขึ้นดอยอินทนนท์ จากท่ารถ อ.จอมทอง เช้าวันจันทร์ซะเลย ไม่เลือกไปลงเชียงใหม่ เพราะจะต้องนั่งรถย้อนกลับมา อ.จอมทอง อีก 2 ชั่วโมง การเดินทางครั้งนี้ผมลองเลือกนั่งรถชั้นสอง เพราะอยากลอง ว่าที่มันถูกกว่า มันเป็นชั้นสองนั้น จะต่างกันแค่ว่าเบาะที่นั่งเล็กกว่า หรือแค่ว่ามันไม่มีห้องน้ำบนรถแค่นั้น

พอขึ้นรถ ก็ดีใจเหมือนถูกเลขท้ายสองตัว ที่ว่ารถมันไม่เต็ม ผมได้นั่งควบสองเบาะ พร้อมกับนึกสะใจที่จ่ายถูกแถมได้นั่งๆนอนๆ อย่างกับรถวีไอพี แต่สวรรค์ของผมมันก็พังลงในชั่วโมงถัดมา

ก็พี่ทั่นเล่นจอดรับส่งผู้โดยสารมันทุกป้าย ไล่ตั้งแต่ออกจากหมอชิต จอดรังสิต นวนคร อยุธยา เรื่อยไปถึง นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก อ. เถิน อ. ลี้ ข้ามเขาเข้าไปเชียงใหม่ ที่ อ. จอมทอง ประมาณว่า จอด เปิดไฟ ผู้โดยสารขึ้นลงแทบทุกชั่วโมง และเต็มทุกที่นั่ง อย่าว่าแต่จะได้งีบเลยครับ จะนั่งให้สบายสักหน่อยยังยาก ผมออกเดินทาง 19.30 น. ถึง อ.จอมทอง ก็ 7.30 วันรุ่งขึ้น ทรมานดีครับ แต่ก็สนุกที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ขากลับตั้งใจไว้แล้วว่าขอเป็นวีไอพีจะดีกว่า

ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่เมื่อยเล็กน้อยเพราะต้องนั่งตัวลีบมาตลอดทาง ความเมื่อยล้าไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้ามันน่าตื่นเต้น จนลืมความลำบากไปหมด ลงรถทัวร์มาก็เจอคิวรถสองแถวเหลืองที่จะขึ้นไปดอยสุเทพ จอดเรียงรายอยู่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทอง รถมีแน่ แต่จะเหมาขึ้นไปคนเดียว คงไม่สนุก มันจะเหงาเกิน อยากจะหาใครร่วมทาง อย่างน้อยก็จะได้พูด ได้คุยบ้าง แถมยังมีคนแชร์ค่ารถอีกต่างหาก

รอ รอ แล้วก็รอ ตั้งแต่ 8 โมง หลังกินโจ๊กร้อนๆ กับน้ำเต้าหู้ จน 10 โมงกว่าแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีนักท่องเที่ยว ทั้งไทย ทั้งฝรั่ง ที่จะมาต่อรถขึ้นไปดอยอินทนนท์ในเช้าวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเหมามาก่อนจากเชียงใหม่ หรือไม่ทางทัวร์ก็จองรถไว้ให้แล้ว ผมเองขอแค่ว่าคนไหนไม่เต็มก็จะขอขึ้นไปด้วย แต่ผ่านไปสองชั่วโมง มันก็มีแต่รถที่นั่งกันเต็มพอดี ความซวยเริ่มบังเกิด หรือว่าที่ผมอุตส่าห์ดั้นด้นนั่งรถชั้นสองมา 12 ชั่วโมง จะไม่มีความหมายอะไรเลย

รอจนพี่ๆ คิวรถแถวนั้นต่างก็เข้ามาถามไถ่ ดูเป็นจุดเด่นเหลือเกินที่เป็นชายหนุ่มคนเดียว แต่ยังหาคู่ เอ้ย หาเพื่อนร่วมทางขึ้นไปไม่ได้ซักที สุดท้ายพี่คนขับคนหนึ่งยื่นขอเสนอให้ว่า จะลดค่าเหมารถให้ผมเป็นกรณีพิเศษ จาก 1200 บาท เหลือ 800 บาท เพราะเห็นว่ามาแล้วก็อย่าให้เสียเที่ยวเลย ผมเริ่มลังเล นี่ถ้าลดเหลือ 600 บาท คงตอบตกลงไปแล้ว แต่จะให้ขึ้นไปคนเดียวเนี่ยนะ สนุกตายละ

คิดแล้วคิดอีก อยู่ดีๆ ผมก็ลุกขึ้นเดิน พร้อมกับขอเบอร์พี่คนนั้นเอาไว้ กะว่าจะเดินไปเรื่อยๆ ตามทางให้ถึงถนนที่ตรงขึ้นดอย ถ้าถึงตรงนั้นแล้ว ยังไม่มีรถที่จะขึ้นผ่านมา ก็จะนั่งรถกลับเชียงใหม่แล้ว เดินๆ ไปคิดว่าใกล้ๆ ที่ไหนได้เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน แดดเริ่มร้อนเพราะเกือบ 11 โมงแล้ว จะลองโบกรถดู ก็เดี๋ยวจะเจอปัญหาขึ้นไปได้แต่ลงไม่ได้อีก นั่นจะยิ่งซวยหนัก เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมาค้างบนดอยเลย

เอาละ ถึงถนนตรงขึ้นดอยแล้ว ถ้าไม่เห็นรถสองแถวขึ้นดอยผ่านมา ก็จะไปเชียงใหม่แล้ว แต่ปาฎิหารย์ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อผมได้เห็นน้องๆ ผู้หญิง 3 คน ยืนโบกรถตรงทางขึ้นดอยนั้น โอ้ว โชคเริ่มเข้าข้างผมบ้างแล้ว ถ้าเป็นปีที่แล้วที่ดวงตกหนักๆ ผมคงไม่เจออะไรแบบนี้ ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ผมเดินดิ่งเข้าไปหา น้องๆ 3 คนนั้น แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เช้าให้ฟัง และถามไถ่เรื่องของน้องๆ

น้องๆ ทั้งสาม กำลังจะขึ้นดอยด้วยการโบกรถ แต่โบกมาแล้วซัก 15 นาที ก็ยังไม่ได้ ผมเลยเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนั้น ว่าจะโทรเรียกรถสองแถวจากท่ารถให้มารับพวกเราตรงนี้ และแชร์ค่ารถกัน น้องๆ เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะถ้าโบกต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะได้รึเปล่า แถมถ้าจะไปเที่ยวจุดอื่นๆ รอบดอยก็ต้องมาเสียเวลาโบกกันใหม่แบบนี้อีก

และแล้ว พวกเราก็ได้ขึ้นดอยสมใจ ผมดีใจมากที่ได้เจอน้องๆกลุ่มนี้ ไม่งั้นคงต้องมาเสียเที่ยวแน่ๆ แถมน้องๆ ยังมีอัธยาสัยดี ทำให้การเดินทางสนุกมากขึ้นไปอีก ได้มิตรภาพใหม่ๆ นอกจากได้ชมความสวยงามของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยแห่งนี้

จุดแรกที่เราไปก็คือยอดดอยอินทนนท์ ที่ตำแหน่งสูงสุดมีหมุดบอกความสูงไว้ 2565.3341 เมตร พืชพรรณบนดอยเป็นพวกที่ขึ้นในอากาศเย็นจัดอย่างพวกมอส จนเห็นคล้ายเป็นพรมสีเขียวปกคลุมไม้ใหญ่และทางเดินโดยรอบ และที่เป็นภาคบังคับก็คือการถ่ายรูปกับป้าย " สูงสุดแดนสยาม " ในวันนั้น มีฝรั่ง ไม่รู้ว่าเป็นนักปั่นจักรยานกันรึเปล่า ปั่นขึ้นไปถึงยอดดอยพร้อมกับถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

กิจกรรมต่อมาที่ใครขึ้นไปถึงก็ทำกันก็คือการแวะที่จุดพักนักท่องเที่ยว ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ แก้หนาว พร้อมกับเขียนไปรษณียบัตร ประทับตราดอยอินทนนท์ แล้วหย่อนลงตู้บนนั้น แม้ว่าอุณภูมิขณะนั้นจะไม่ต่ำที่สุด คือแค่ 12 องศา แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นจนมือแข็ง เขียนหนังสือไม่ได้เหมือนกัน

สถานที่ต่อไปที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือ พระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล - นภพลภูมิสิริ ที่กองทัพอากาศสร้างถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงพระเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษาปี 2530 และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา ปี 2535 บริเวณโดยรอบมีดอกไม้เมืองหนาวสวยงาม เหมาะกับผู้รักการถ่ายภาพ

จุดต่อไปเป็นตลาดม้ง ซึ่งก็อยู่ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และจุดกางเต้นท์แล้ว สำหรับผมว่าไม่มีอะไรมากนัก เป็นตลาดเล็กๆ แต่ก็ได้เห็นแม่ลูกชาวม้ง ครอบครัวหนึ่ง เก็บภาพมาฝาก ผมว่าภาพนี้มันบอกอะไรได้ดีกว่าตัวหนังสือนัก

ถึงที่ทำการอุทยานด้วยความหิวโหยเกือบบ่ายสามแล้ว โจ๊กที่กินไปเมื่อเช้าป่านนี้คงไปถึงลำไส้ใหญ่แล้ว น้องๆทั้งสามก็หิวเช่นกัน ทีแรกว่าจะพักกินที่ที่ทำการอุทยานด้วยกัน แต่ผมดูเวลาแล้ว สำหรับผมคงต้องไปแล้ว ตอนที่นั่งคุยกันบนรถ น้องๆ แนะนำให้ผมไปปายด้วย เพราะน้องๆเคยไปมาแล้วดีมาก ต้องไปให้ได้ และกำลังจะไปอีกวันพฤหัสนี้ ผมก็เลยเริ่มลังเลว่าจะเปลี่ยนแผนไปปายด้วย แต่ก็บอกไปว่ายังไม่แน่นอนนัก ปล่อยให้สถานการณ์พาไปดีกว่า ถ้ามีเวลาและความอยากพร้อมกัน ก็คงได้เจอกันที่ปายอีก

เราโบกมือลากัน ยินดีในมิตรภาพใหม่ที่มีให้กัน ไม่ได้ขออะไรสำหรับติดต่อเอาไว้ ผมขอเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ในใจ และในภาพที่ถ่ายร่วมกันก็คงพอ ถ้าโชคดีเราคงได้เจอกันอีกที่ปายนะ

ผมลงดอยมากับพี่คนขับเพียงลำพัง น้องๆทั้งสามการเต้นท์พักที่อุทยาน ผมต่อรถสองแถวสีเหลืองจาก อ. จอมทอง กลับมาที่เมืองเชียงใหม่ ด้วยความอ่อนล้ามาตั้งแต่เมื่อคืน บวกกับอากาศร้อนๆ ยามไม่ได้อยู่บนเขา กับรถสองแถวตะลุยฝุ่นเกือบ 2 ชั่วโมง มันทำให้มึนจวนเจียนสลบได้เหมือนกัน

ถึงเชียงใหม่ที่ท่ารถประตูเชียงใหม่ ต่อรถสองแถวแดงไปที่ที่พักแถวถนนนิมมานเหมินทร์ อันดับแรกคือต้องอาบน้ำแล้ว สภาพอย่างกับไปเขาชนไก่มา อาบเสร็จก็งีบสักพักรอเวลาตะลุยเมืองเชียงใหม่ต่อ

ผมตื่นมาช่วงค่ำ ได้ที่หมายในใจคือ กาดรินคำ และ หาของกินแถวหลัง มช. ซึ่งไม่ไกลจากที่พักนัก เดินไปเดินกลับก็ยังพอไหว พอถึงกาดรินคำ ก็น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะของกิน หรือเสื้อผ้า ที่ตลาดนัดในกรุงเทพก็มีขาย แต่เป็นน้องๆ มช. ที่น่ารักน่าชม กินไปชมไปช็อปไป เพลินครับ บรรยากาศแบบนี้ถ้าเป็นในกรุงเทพก็คงต่างกันออกไป จะเทียบอย่างแถวหน้าราม ก็ต้องบอกว่าที่นี่ ชิลกว่าเยอะ หนุ่มสาวออกมาเดินเล่น ซ้อนมอไซค์มาเป็นคู่ บ้างก็มากันเป็นกลุ่ม ถ้าใครเคยดูวัยอลวนฉบับน้องรถเมล์ ที่กลัวว่าลูกหลานมาเรียนนี่แล้วจะมีแฟนแบบในหนัง ก็เห็นจะต้องบอกว่า ทำใจครับ มันเป็นปรกติของที่นี่ การมีแฟนคงไม่ใช่เรื่องผิดถ้าหากไม่เสียการเรียน และไม่ออกนอกลู่นอกทางไปมากกว่านั้น

เดินรอบกาดรินคำอยู่หลายรอบ กำลังคิดว่าจะไปหาอะไรกินต่อที่หลัง มช. เพื่อความชัวร์เลยถามนักศึกษาแถวนั้นว่ากิน ด้านหน้า หรือด้านหลังเจ๋งกว่า น้องเค้าก็เลยบอกเอาบุญสำหรับคนไม่รู้อย่างผมว่า ด้านหลังวันนี้ปิด ปิดทุกวันที่ 25 ของเดือน อะไรมันจะพอดีขนาดนี้ มาปิดเอาวันที่เราจะไป แต่ก็โชคดีอีกแล้วที่ได้รู้ก่อน ไม่ได้ไปเก้ออีก เลยสรุปว่า เดินกลับมากินก๋วยเตี๋ยวแถวนิมมานดีกว่า เป็นทางกลับที่พักพอดี

กลับมาที่พัก ก่อนเข้านอนก็คิดโปรแกรมคร่าวๆ ของพรุ่งนี้ ว่าจะขึ้นดอยสุเทพ และก็ลงมาสวนสัตว์ ตามฟอร์ม จะมีอะไรน่าตื่นเต้นเกินขึ้นอีกมั้ย ต้องลองๆ แล้วมิสเตอร์บีนก็หลับลงในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆของวันนั้น

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 2 ... วันอังคาร ดอยสุเทพ และสรวงสวรรค์พระตำหนักภูพิงค์

ตื่นเช้าได้เองโดยอัตโนมัติ เหมือนมีนาฬิกาปลุกในใจ วันนี้ตั้งใจว่าจะเดินทางขึ้นดอยสุเทพ ไหว้พระธาตุ ชมพระตำหนักภูพิงค์ และปลายทางที่หมู่บ้านม้งดอยปุย แต่เช้านี้ดูฟ้ามืดครึ้ม เพราะเมื่อคื่นฝนตกหนัก จนโรงแรมที่พักขึ้นขั้นไฟดับ แต่เมื่อตั้งใจแล้ว ก็อย่าลังเล ว่าแล้วก็ขอเติมพลังซะก่อน ด้วยโจ๊กตลาดต้นพยอม เจ้าดังของเชียงใหม่ ชิมแล้วอร่อยจริง สมแล้วที่มีคนดังแวะเวียนไปมากมาย

( ระหว่างทางผ่านผับชื่อดังของเชียงใหม่ ยามเช้า นักเที่ยวต่างหลับไหล )

ทางเดินจากที่พักของผมไป ด้านหลังมช. และตลาดต้นพยอม ผ่านแปลงเกษตรของคณะเกษตร มช. ในยามเช้าแบบนี้ อากาศเย็นๆของฟ้าหลังฝน มองจากริมถนนเข้าไป เห็นทิวเขาดอยสุเทพ เป็นฉากหลัง ผมว่ามันสวยกว่า สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังบางแห่งซะอีก

กินโจ๊กเรียบร้อยแล้ว เดินเข้า มช. กะว่าจะเดินทะลุไปถึงด้านหน้า แต่เห็นรถไฟฟ้าจอดอยู่ว่างๆ ไม่มีนักศึกษาขึ้น ก็อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ พี่เค้าก็ต้องขับวนรอบอยู่แล้ว นั่งรถกินลมเย็นๆ สบายกว่า

รถจอดที่ประตูหน้าพอดี เดินไปอีกนิดก็จะเป็นสวนสัตว์เชียงใหม่ มีคิวรถสองแถวขึ้นดอยสุเทพจอดคอยผู้โดยสารอยู่ด้านหน้า ปกติแล้วราคาขึ้นไปวัดพระธาตุจะอยู่ที่ 40 บาท แต่วันนั้นคนน้อย คนขับเลยขอเป็น 50 บาท ขอกันตรงๆ แบบนี้รู้สึกดีกว่ามาแบบมั่วๆ ครับ

บนวัดพระธาตุยังคงคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งไทย ทั้งต่างชาติ แม้จะเป็นวันธรรมดาแบบนี้ ต่างจากข้างล่างที่ดูเงียบๆ เดินถ่ายรูปไปรอบๆ เห็นเด็กชาวม้งแต่ตัวเต็มเครื่องแบบ ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แล้วรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ดูหน้าน้องเค้าสิครับ บรรยายความรู้สึกได้ดีอีกแล้ว

ปกติยอมรับว่าตัวเองห่างไกลวัดมาเที่ยวเมืองเหนือครั้งนี้เห็นจะได้เข้าวัดบ่อยที่สุดในรอบหลายปี เมื่อวานก็วัดพระธาตุศรีจอมทอง วันนี้วัดพระธาตุดอยสุเทพ วันที่เหลือคงมีอีกหลายวัด สุขใจแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ชมม้งคนสองคนไม่สะใจ ต้องขึ้นไปหมู่บ้านม้งดอยปุย พอดีที่ว่าผมมาคนเดียว จึงต้องรอไปแจมกับรถคันอื่น ที่จะขึ้นไปจุดหมายต่อไป ผมยืนรอสักพัก ก็มีรถสองแถวอยู่คันหนึ่งกำลังจะพานักท่องเที่ยวหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เดินทางต่อไปดอยปุย ผมไม่รอช้ารีบติดต่อพี่คนขับ ขอขึ้นไปด้วยคน โดยมากแล้วจะได้ ยกเว้นว่าบางกลุ่มที่โดนเหมารถแล้ว ก็จะไม่รับคนเพิ่มอีก

ทางที่จะถึงหมู่บ้านม้งเล็กและแคบกว่าแถววัด ถ้าใครจะขี่มอไซค์ขึ้นมาก็คงต้องระวังกันหน่อย พอถึงพี่คนขับขอให้ผมช่วยพูดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติคู่นี้ให้ นัดเจอที่ไหนกี่โมง พอคุยกันก็ค่อนข้างจะถูกคอ ผมเลยได้รับหน้าที่ไกด์จำเป็นไปด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยมา แต่อย่างน้อยก็พอพูดกับชาวม้งรู้เรื่องอยู่บ้าง โชคดีของผมอีกครั้งที่ได้เจอเพื่อนร่วมทางน่ารักๆแบบนี้อีกแล้ว

ในรูปจะพอเห็นไกลๆ ได้ว่า เพื่อนต่างชาติของผมคู่นี้ ผู้ชายเป็นชาวไต้หวัน ส่วนสาวน้อยน่ารักคนนั้น เป็นชาวฮอลแลนด์ มองไกล้ๆ อย่างกับมาเรีย ชาราโปว่า ทั้งคู่บอกว่าเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอกครับ

เดินชมบ้านเรือน และชีวิตชาวม้งไปเรื่อย ต้องสะดุดตากับอะไรบางอย่าง ที่เค้าบอกว่ามันคือสัตว์ประหลาด หัวเป็นหมา ตัวเหมือนคน มีหางเหมือนลิง อะไรก็ไม่รู้ ผมว่าทำขึ้นมาเอง ให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้นเล่นๆ ซะมากกว่า

เดิมที่แห่งนี้เคยปลูกฝิ่นกันมาก ปัจจุบันก็มาปลูกพืชเมืองหนาว เปิดหมู่บ้านให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม เหลือเพียงดอกฝิ่น ที่ปลูกเอาไว้ให้ถ่ายรูปและเอามาตากแห้ง เป็นดอกไม้ประดับเท่านั้น

ก่อนจะแยกทางกับเพื่อนต่างชาติคู่นั้น ผมซื้อมันเผาร้อนๆ ให้ลองชิมกัน ส่วนเพื่อนต่างชาติของผมก็ตอบแทนด้วยการซื้อน้ำโมกุโมกุ น้ำหวานผสมเยลลี่ที่ขายในกรุงเทพนั่นแหละครับ ให้เป็นการตอบแทน แล้วก็มาบ่นว่าหวานๆ คนไทยชอบกินหวาน ก็ดันไปซื้ออะไรไม่ยอมถามคนไทยซะก่อนล่ะ

เราลงจากดอยปุยมาพร้อมกัน แต่ผมขอแยกทางที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ส่วนทั้งคู่เดินทางกลับไปตัวเมือง น่าเสียดายโดยแท้ ที่ทั้งคู่ไม่ลงมาเที่ยวพระตำหนักภูพิงค์กับผม เพราะมันสวยดั่งสวรรค์ ผมว่าทั้งอากาศ ทั้งวิวทิวทัศน์ ที่นี่คือสวรรค์บนดินโดยแท้ รูปที่ถ่ายมาเยอะมากคงไม่สามารถมาลงได้หมดเพื่อบรรยายความสวยงามนี้ บอกได้แค่ว่าถ้าใครได้ไปเชียงใหม่ อย่าลืมมาพระตำหนักพูพิงค์นะครับ

ผมใช้เวลาบริเวณโดยรอบพระตำหนักเกือบ 2 ชั่วโมง นี่ถ้ามีเวลาเหลือเฟือคงอยู่นานกว่านี้ แต่ก็ต้องลงดอยแล้ว เพราะอยากไปดูที่อื่นๆในเมืองด้วย ลงดอยมาถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ ก็ต้องเข้าไปคารวะหลินปิงซักหน่อย มันกลายเป็นธรรมเนียมปฎิบัติไปแล้วหรือนี่ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังที่เจอแต่ตัวพ่อ นอนขี้เกียจอยู่ตัวเดียว รอแล้วรออีกหลินปิงก็ไม่ออกมา ผมว่าแพนด้า เด็กๆ มันก็น่ารักซุกซนดี แต่พอเริ่มแก่อย่างตัวพ่อแล้วเนี่ย ดูขี้เกียจๆ ยังไงไม่รู้ ไม่รอละ ไว้ไปดูในทรูก็ได้

ขึ้นรถเที่ยวชมรอบๆ สวนสัตว์ โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ใช่คนที่ปลื้มสัตว์ในกรงอะไรพวกนี้นัก จะสนุกสนานก็ตรงที่คนขับ เป็นคนบรรยายบรรยากาศรอบๆไปด้วย แต่ละคนงัดมุกมาให้นักท่องเที่ยวขำกันกระจาย วนครบรอบแล้วก็ออกดีกว่า บอกแล้วว่าไม่ปลื้มสัตว์ในกรงแบบนี้

ออกมาก็เย็นมากแล้ว เติมพลังมื้อเย็นอีกสักมื้อ ก่อนจะกินอีกครั้งมื้อดึกๆ ผมเดินไปเรื่อยถึง หน้า มช. มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ติดกันอยู่เป็นสิบร้าน รองรับนักศึกษาที่จะออกมากินพร้อมๆกันได้เป็นร้อย รสชาติดี ราคาประหยัดแบบนี้ ถูกใจครับ มื้อนี้เป็นน้ำพริกอ่องราดข้าว ไข่ดาว แล้วก็ ต้มแซบกระดูกอ่อน สุดยอดครับ

กินเสร็จก็ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว ผมเลือกจุดหมายในการชมพระอาทิตย์ตกในวันนี้ที่ริมน้ำแม่ปิง เริ่มจากเรียกรถแดงไปลงแถวกาดหลวง เดินชมคร่าวๆ กะว่าก่อนกลับจะแวะมาซื้อของฝากอีกครั้ง เดินข้ามสะพานเล็กๆ ไปยังอีกฝั่ง ตามเส้นถนนเจริญราษฎร์ และถนนเชียงใหม่-ลำพูน ก็จะเป็นร้านอาหารเก๋ๆ รินน้ำแม่ปิง เดินผ่านร้านอาหารมาอีกนิดก็จะเป็นที่นั่งริมน้ำ ถ้าอากาศเย็นกว่านี้อีกนิดคงเหมาะมากสำหรับคู่รัก มาชมพระอาทิตย์ตก แต่สังเกตว่าคนเชียงใหม่เองไม่ทำอะไรแบบนี้ เหมือนที่เราคนกรุงเทพ ก็ไม่ค่อยมานั่งริมสะพานพุทธเช่นกัน

ยัง ค่ำคืนนี้สำหรับผมมันยังไม่จบ ผมเรียกสามล้อ นั่งต่อไปยังไนท์บาซาร์ เคยได้ยินว่าเดี๋ยวนี้ซบเซาไปมาก ก็เห็นจะจริง ตัวไนท์บาซาร์เองคนเดินน้อย มีร้านปิดไปหลายร้าน จะยังพอคึกคักอยู่บ้างก็เป็นริมถนนโดยรอบ ส่วนใหญ่เป็นของขายชาวต่างชาติเหมือนอย่างแถวริมถนนสีลม สุขุมวิท แบบนี้ไม่เวิร์คครับ ไม่ใช่แนว เดินแป๊บเดียวก็เลยว่า ไปที่อื่นดีกว่า

สุดท้ายแล้วผมก็ไปจบที่หลัง มช. จนได้ หลังจากที่เมื่อวานปิดเลยไม่ได้มา ร้านอาหารเรียงรายอยู่ริมทาง ทั้งสองฟากถนน ทั้งนักศึกษา คนทำงาน กินกันอย่างเอร็ดอร่อยและสบายกระเป๋า นึกถึงเยาวราช ท่าดินแดงในกรุงซะจริง แต่ฝากเอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมขอเข้าร้านเนตเพื่อหาข้อมูลเดินทางไปปาย ปาย มันเริ่มเข้ามาอยู่ในหัวผมแล้ว

ค้นข้อมูลในเนตไป พลางดูบรรยากาศในร้านเนตไป ซึ่งก็มีแต่นักศึกษา มช. ทั้งนั้น มีเสียงคุยทั้งคำเมือง ทั้งภาษากลางคละเคล้ากันไป ฟังสนุกดีเหมือนกันครับ หลังจากได้ข้อมูล พร้อมทั้งแผนที่ อ.ปาย อยู่ในมือแล้ว ก็ตัดสินใจได้ว่า พรุ่งนี้เช้า จุดหมายของเราคือ ปาย

ออกมาจากร้านเนตเกือบสี่ทุ่ม ร้านอาหารเริ่มเก็บไปหลายร้านแล้ว แต่ยังมีร้านหนึ่งแปลกแหวกแนวดี เขียนไว้ว่ากับข้าวราคาเริ่มต้น 14 บาท ผมก็สงสัยว่าเค้าทำได้ยังไง ดูในเมนูแล้วยิ่งตกใจ มีทั้งผัดผัก ไข่เจียว ผัดเผ็ด แกงจืด ตามปกติที่ร้านข้าวต้มจะมี แต่มัน 14 - 19 บาท ทำได้ไง จะคุ้มหรือ

ว่าแล้วก็สั่งมัน 4 อย่างซะเลย ไข่เจียวหมูสับ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ผัดผักคะน้าหมูกรอบ ผัดผักบุ้งไฟแดง ข้าวอีกสองจาน เค้าทำได้ครับ แม้ปริมาณจะน้อยกว่าร้านปกติ คิดง่ายๆ ว่าถ้าร้านอื่นผัดจานละ 40 บาท ร้านนี้ก็ทำซักครึ่งหนึ่ง แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเรามาคนเดียวจะได้กินหลายๆอย่าง อิ่มนี้จ่ายแบงค์ร้อยยังได้ทอนมาสิบกว่าบาท

กินไปกินมา มองดูถนนไปก็คิดว่า เอาแล้วมั้ยล่ะ รถแดงมันหมดแล้วหรือนี่ มองตั้งนานยังไม่มีผ่านมาซักคัน แล้วก็ต้องเดินกลับที่พักจนได้ ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล เดินกลับมาด้วยความเมื่อยล้า ออกไปตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กลับมาเกือบห้าทุ่มแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าเพื่อเช็คเอ้าท์ โรงแรม และไปให้ทันรถเที่ยวแรกที่จะไปปาย เจ็ดโมงเช้า ไม่ไหวแล้วครับ มิสเตอร์บีนขอลาวันนี้ไปแต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้เจอกันครับ

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 3 ... วันพุธ ปาย อิน เลิฟ

แม้จะตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือไว้ที่ตี 5 ครึ่ง กะว่าอาบน้ำ เก็บข้าวของใส่กระเป๋า ครึ่งชั่วโมง ลงมาเช็คเอ้าท์ ก็น่าจะหกโมงกว่าๆ นั่งไปถึงขนส่งอาเขตก็น่าจะเกือบเจ็ดโมงเช้าพอดี แต่ด้วยความตื่นเต้นหรือไงไม่ทราบ ดันทะลึ่งตื่นมาตั้งแต่ยังไม่ตีสี่ แล้วก็นอนไม่หลับอีกเลย เลยได้ดูความบู่ของลิเวอร์พูลอีกนัดที่ทำได้แค่บุกไปเสมอกับวูลฟ์แบบไร้สกอร์ สะใจก่อนเดินทางไกลดีแท้

ออกมายังฟ้ามืดๆ จนถึงขนส่งแล้วก็ยังไม่สว่างซักที ผมจองรถเที่ยวแรก 7 โมงเช้า เป็นรถบัสธรรมดาสภาพเก่ามาก ข้างหน้าที่ต่อคิวจองแถวเดียวกัน เป็นคุณลุงคนหนึ่งที่ดูน่าจะเป็นคนในพื้นที่ บอกกับคนจำหน่ายตั๋วว่า ของนั่งริมหน้าต่างๆ ด้านหน้า

ผมถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมต้องนั่งตรงนั้น แล้วก็ได้คำตอบที่ทำให้เริ่มหวั่นๆ ว่า นั่งตรงนั้นเมาน้อยหน่อย ไม่ไหวลุงแก่แล้ว นี่ขนาดเคยขับรถผ่านแถวนั้นบ่อยๆ ยังเอาไม่อยู่เลย เอาล่ะสิครับเล่นขู่กันแบบนี้ จากที่เคยมั่นใจว่าไม่ใช่คนที่เมารถง่ายๆ ก็เริ่มเดินไปหาซื้อยาแก้เมารถ ที่ร้านน้ำข้างๆ พกติดตัวไว้ก่อนดีกว่า

กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ไม่เน้นอิ่มนัก เพราะได้ยินมาเยอะว่า ไปปายไม่หลับก็อ้วก กลัวจะเลอะเทอะ เลยเตรียมถุงพลาสติกไปด้วย ได้เวลาขึ้นรถ ยิ่งรู้สึกหวั่น เพราะคนค่อนข้างแน่น และส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านทั้งนั้น มากับสัมภาระมากมาย แต่โชคดีซะจริงที่ผมได้นั่งคนเดียวสองเบาะอีกแล้ว

แต่ยังไม่ทันจะไปถึงไหน แค่หน้าขนส่ง ก็เป็นเรื่องซะแล้ว เสียงโครมใหญ่ๆ ทำเอาคนบนรถตกใจ เด็กรถ และคนขับลงไปดูสักพักก็ขึ้นมาบอกว่า ต้องเปลี่ยนรถนะ เพลาหัก ... หลากหลายอารมณ์เกิดขึ้นพร้อมกันทันที บ้างก็หงุดหงิดที่เสียเวลา บ้างก็โล่งใจที่ยังโชคดีไม่ไปหักบนเขา ผมเป็นอย่างหลังมากกว่า

รถคันอื่นๆ ที่ไปปายเหมือนกันค่อยๆ ผ่านหน้าพวกเราไปทีละคันๆ รอเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ได้รถคันใหม่มาเปลี่ยน แต่เสียงเครื่องและสภาพภายนอก ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมซะเท่าไร แต่เชื่อในฝีมือคนขับครับ น่าจะเอาอยู่

นั่งมาสักพักก็ถึงทางขี้นเขา ที่ใครกลัวกันนักหนา แต่พอได้นั่งจริงๆแล้ว ผมขอบอกให้คนที่ยังไม่ได้ไปเลิกกลัวได้เลย อากาศดีๆ กับวิวทิวทัศน์สวยๆ ข้างทาง มันทำให้ลืมความคดเคี้ยวของถนนไปได้เป็นปลิดทิ้ง ยิ่งนั่งก็ยิ่งรู้สึกหลงใหล ไปกับเส้นทางนี้ ตลอดการเส้นทาง มีคนอ้วกอยู่คนเดียวนั่นคือเด็กเล็ก สาม สี่ขวบ ที่เหลือก็ส่วนใหญ่จะหลับกันสบาย ส่วนผมขอซึมซับบรรยากาศไว้ตลอดการเดินทาง 4 ชั่วโมง

ถึงปายอย่างปลอดภัย ภารกิจต่อไปคือต้องหาที่พักซะก่อน เที่ยงๆแบบนี้ปายก็ร้อน แดดแรงเหมือนกัน ผมพอจะศึกษาเส้นทางมาบ้าง จุดแรกกะว่าจะลองไปถามดูที่พักแถวริมแม่น้ำปาย แต่ถามดูหลายที่ บางที่ก็เต็ม ทั้งๆที่เป็นวันธรรมดา บางที่ก็แพงเกินงบ เลยกลับมาหาแถวถนนคนเดินดีกว่า น่าจะถูก และก็เดินเที่ยวกลางคืนก็สะดวก

แล้วก็ถูกใจที่พักแห่งหนึ่งที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่ก็ดูสวย สะอาดตาดี เจ้าของก็ดูใจดีพาเข้าไปชมห้องก่อนตัดสินใจ แน่นอนว่าห้องน่ะถูกใจผมแน่ แต่ต้องดูราคาก่อน พอป้าเจ้าของบอกราคามาก็โอเคทันที เพราะย่อมเยาสมเหตุสมผล ใครสนใจก็ลองโทรสอบถามดูนะครับ บ้านสวนรีสอร์ท 083 - 3217382

อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็บ่ายกว่าๆ แดดยังแรง ไม่น่ารีบออกไปไหน ว่าแล้วก็นอนเอาแรงซักงีบ ตื่นขึ้นมาเกือบบ่ายสาม ได้เวลาตะลุยเมืองปายต่อแล้ว ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่จะนิยมเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ชมทิวทัศน์รอบๆเมือง แต่ผมไม่ถนัดมอเตอร์ไซค์นัก เลยขอเป็นจักรยานดีกว่า ใช้พลังงานเราไม่ปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์อีกต่างหาก มาเที่ยวแล้วก็ไม่อยากจะทำให้บรรยายกาศดีๆของที่นี่เปลี่ยนแปลงไป

จากจุดที่พักแถวๆ ถนนคนเดิน ที่เหมือนจะเป็นศูนย์กลางความเจริญของเมือง ที่เต็มไปด้วยรีสอร์ท เกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหาร ไปจนถึงร้านเหล้า ที่ดูเหมือนจะยกถนนข้าวสารเอามาไว้ที่ปาย ผมได้ฟังคำบอกเล่าจากหลายๆคน ว่าปายเปลี่ยนไปแล้ว อย่างนั้นอย่างนี้ จนไม่เหลือภาพชีวิตเดิมๆ ของชาวบ้านแล้ว ถ้ามองจากโดยรอบถนนคนเดินแห่งนี้ ก็เห็นจะจริงอย่างคำบอกเล่า แม้จะไม่เคยมาเห็นสภาพก่อนหน้านี้ ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ก็คงต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ บางครั้งที่เราอยากจะได้อะไรมา ก็ต้องยอมสูญเสียอะไรไปบ้างเหมือนกัน

แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดของเมืองนี้ ผมขอนั่งยันนอนยันว่า ปาย ยังมีส่วนที่เป็นธรรมชาติจริงๆ อยู่รอให้คนที่อยากสัมผัสธรรมชาติได้ไปดื่มด่ำ ใครไม่ชอบความวุ่นวายแถวๆ ใจกลางเมือง ก็ลองออกมาไกลอีกซักนิด ผมลองปั่นจักรยานออกไปไกลที่สุดเท่าที่จะปั่นไหว และมีเวลาเหลืออยู่ 3 - 4 ชั่วโมงก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า แล้วการขี่จักรยานคงจะเป็นเรื่องอันตรายเกิน

ได้เห็นชาวบ้านแท้ๆ ในตลาดหน้าเทศบาล ไกลออกไปอีกหน่อยก็ยังมีทุ่งนาให้เห็น บริเวณเขตบ้านแม่ฮี้ ก็ยังมีทีพักแบบโฮมสเตย์อยู่แบบชาวบ้านแท้ๆ ราคาก็แสนถูกไว้รองรับคนที่ชอบแนวนี้ เพียงแต่ว่า วันนี้ปายในกระแส ที่ผมได้ยินได้ฟังก่อนไปนั้น มันคือ ถนนคนเดิน คอฟฟี่อินเลิฟ แล้วก็รีสอร์ทหรูๆ ริมน้ำปาย มันคงไม่ผิดอีกเช่นกันถ้าใครคิดจะไปปายเพราะสิ่งเหล่านี้ เพราะอย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น สร้างอาชีพให้กับอีกหลายๆคน

ไม่ได้ขี่จักรยานมานาน แถมยังขี่หลงไปหลงมา เพราะสัดส่วนในแผนที่มันดูยากเหลือเกิน ส่วนใหญ่จะขี่เลยเป้าหมาย สองชั่วโมงผ่านไปเริ่มจะเจ็บโคนขาหนีบซะแล้ว น่าจะหาทางกลับได้แล้วก่อนจะหมดแสง และก็จะได้เตรียมตัวไปเดินชิลๆ บนถนนคนเดินอันโด่งดัง

แล้วก็มาถึงเวอร์ชั่นแสงสีของปาย หลังพระอาทิตย์ตก พ่อค้าแม่ขายก็เริ่มเอาของออกมาวางเรียงรายตามถนน อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ คืนนี้คงถึงขั้นหนาวแน่ สินค้ากระจุกกระจิกทำมือที่แปะยี่ห้อปายถูกนำมาอวดสายตา ที่เยอะสุดน่าจะเป็นเสื้อปาย กลายเป็นของที่ระลึกภาคบังคับของคนที่มาเที่ยวที่นี่ไปแล้ว

ภาพถ่ายผมว่าน่าจะเป็นหลักแสนหลักล้านภาพที่ถูกเก็บไปกับกล้องของนักท่องเที่ยว เป็นตัวช่วยเผยแพร่สีสันของเมืองนี้ ทวีความดังขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับผมเอง หลังจากที่ได้สัมผัสแล้ว ผมรู้สึกดีกับเมืองที่มีความหลากหลายเมืองนี้ ชอบที่ยังมีธรรมชาติดีๆอยู่ คู่กับสีสันยามค่ำคืน บางคนบอกว่าปายไม่มีอะไร ผมว่าปายมีคนที่น่ารัก คนที่มาทำตัวสบายๆ ปล่อยใจไปกับความชิลของเมืองนี้

เดินไปเดินมาก็ได้เจอกับตำรวจที่เก็บภาพไว้เมื่อเย็นอีกครั้ง ช่วงเวลางานก็ปฎิบัติหน้าที่อย่างตั้งใจ แถมยังมีลีลาในการโบกรถเป็นจุดเด่น พอตกเย็นค่ำๆ แบบนี้ก็มารับจ๊อบพิเศษร้องเพลงและรับบริจาคให้กับเด็กด้อยโอกาส มีตำรวจดีๆแบบนี้ที่ปายด้วยครับ

ถนนคนเดินที่ปายจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ เมื่อเทียบกับเมืองเล็กๆแห่งนี้ จะว่าเล็กก็เล็ก เพราะเดินไปเดินมาก็จะเจอคนรู้จัก เจอคนหน้าเดิมๆ บ่อยครั้ง ผมเจอฝรั่งที่ได้เจอกันวันแรกที่ดอยอินทนนท์ เจอแล้วเจออีก และสุดท้ายก็ได้เจอน้องๆ ที่ขึ้นดอยอินทนนท์ด้วยกันจนได้ ทักทายกันอย่างกับรู้จักกันมานาน เล่าสู่กันฟังว่าใครไปที่ไหนกันมา มานี่ได้ยังไง พี่จะบอกว่า ถ้าน้องไม่มากระตุ้นต่อมอยากของพี่ป่านนี้คงนอนขี้เกียจอยู่ที่โรงแรมในเชียงใหม่ ขอบใจน้องๆอีกครั้ง ที่ทำให้ได้มาสัมผัสประสบการณ์ดีๆที่ปายนี้

น้องๆ ยังไม่หยุดกระตุ้นต่อมอยาก บอกว่าให้ไปห้วยน้ำดังด้วยกัน เอ่อ แต่ว่าจะให้ขับมอไซค์ไปนั้น พี่ว่าไม่เวิร์ค อันตรายเกิน คุยไปคุยมาน้องๆเลยแนะว่าให้ไปเที่ยวปางอุ๋งสิพี่ ผมก็เคยได้ยินได้เห็นรูปมาบ้างก็รู้ว่ามันสวยมาก แต่แบบว่า พรุ่งนี้จัดโปรแกรมไว้แล้วว่าจะขี่จักรยานไปรอบเมืองอีกครั้ง คราวนี้จะเอารอบใหญ่เลย และก็จะไปปางอุ๋งนี่รู้มาว่ามันก็ไม่ได้ใกล้ๆ นั่งรถขึ้นเขาลงเขาไปอีกสองสามชั่วโมง เลยบอกน้องๆไปว่าพี่แก่แล้ว ขอแบบชิลๆ ในปายแบบนี้ดีกว่า ส่วนน้องๆ ก็จะไปค้างที่ห้วยน้ำดังคืนพรุ่งนี้ แล้วเราก็แยกกันอีกครั้ง โดยก็ยังไม่ได้ขออะไรติดต่อไว้ เดินจากมาก็รู้สึกเสียดายมิตรภาพดีๆแบบนี้เหมือนกัน หากว่าไม่ได้เจอกันอีก มันก็จะอยู่ในความประทับใจในการเดินทางของผมครั้งนี้ตลอดไป

ระหว่างเดินกลับที่พัก ก็ได้เห็นร้านขายทัวร์ร้านหนึ่ง เขียนป้ายไว้ว่า ไปปางอุ๋งพรุ่งนี้ วันเดียวก็เที่ยวได้ เอาแล้วมั้ยล่ะ เหมือนมีแรงดึงดูด ผมเดินเข้าไปถามว่าไปได้จริงหรือ ไปได้สิแต่ต้องออกตีสี่ถึงจะเที่ยวได้ทั่ว ตื่นเช้าไม่เป็นปัญหาของผม ค่ารถตู้ก็ไม่แพงนัก สนนราคา 500 บาทต่อคน ผมคิดไม่นานนักก็ตกลงปลงใจ ดูใจง่ายซะจริง แล้วก็รีบกลับที่พักด่วน เพราะจะได้นอนเยอะหน่อยก่อนที่จะตื่นตีสี่เช้าวันพรุ่งนี้

การไปคนเดียวครั้งนี้ ดูเหมือนจะต้องเสี่ยงทายเพื่อนร่วมทางอีกครั้งในเช้าพรุ่งนี้ ผ่านมาสองทริปสิ่งที่ทำให้ประทับใจไม่น้อยก็คือเพื่อนร่วมทางดีๆ ผมว่าโชคเข้าข้างผมแบบนี้ พรุ่งนี้คงได้เจอกลุ่มดีๆ สนุกๆแน่ๆ สำหรับคืนนี้ต้องขอนอนเอาแรงก่อน เห็นโปรแกรมแล้วพรุ่งนี้เหนื่อยแน่