วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอมยุทธน้อยท่องยุทธจักร ตอนที่ 4 ... วันพฤหัส ปางอุ๋ง ดินแดนในความฝัน

ตื่นเต้นทีไรเป็นต้องสะดุ้งตื่นก่อนเวลาทุกที ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ตีสามครึ่ง เอาเข้าจริงตีสองกว่าก็ตื่นแล้ว เลยได้ดูคาร์ลิ่งคัพ แมนซิ แมนยู ได้ครึ่งหนึ่ง จนเวลาตีสี่เป๊ะ เสียงโทรศัพท์จากพี่คนขับดังขึ้น ถามไถ่ว่าพร้อมหรือยัง ผมพร้อมนานแล้ว เลยขับวนมารับผมที่ที่พักเป็นคนแรก รู้สึกดีครับที่ปกติแล้ว นัดเช้าแบบนี้กะใครทีไรมักจะมีเลทให้เสียอารมณ์เสมอ เป็นคนขับรถที่มีความรับผิดชอบดีจัง

แต่ก็ดันต้องรอ คนที่เหลืออยู่พักใหญ่ อากาศกลางดึกที่ปายหนาวเหน็บ ผมเตรียมไปก็แค่ชุด รด. สมัยสิบกว่าปีที่แล้ว ที่กันหนาวไม่ค่อยจะได้ นั่งรอบนรถตู้จนสักตีสี่ครึ่งก็มากันพร้อมหน้า ทริปนี้มีกันแปดคนรวมพี่คนขับแล้ว กลุ่มแรกที่มาถึงเป็นชายหนึ่ง หญิงสอง กลุ่มที่สองเป็นชายเข้มๆ สามคน พร้อมแล้วออกรถได้

บรรยากาศสองข้างทางรวมทั้งด้านหน้าแทบมองไม่เห็นอะไร ไม่มีไฟตามทาง มีเพียงแสงไปจากรถของเรา ที่ต้องยกไฟสูงเป็นระยะๆ เพราะหมอกหนามากๆ บางจุดแค่สามเมตรจากหน้ารถก็ไม่เห็นแล้ว ยังดีที่ว่าเป็นแค่จุดๆไป ไม่ได้เป็นตลอดทาง ผมนั่งข้างพี่คนขับ เลยรู้สึกว่ามีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ร่วมกัน คือพยายามไม่ให้พี่คนขับหลับ ด้วยการชวนคุยเป็นระยะๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าง่วงบ้างรึเปล่า ผมวัดเอาจากตัวผมเอง ว่านั่งไปสักพักอาการง่วงเริ่มเกิด ส่วนคนอื่นที่เหลือเป็นไปตามคาด หลับกันทั้งรถครับ

พี่คนขับบอกว่าหลับได้เลย ถึงปางอุ๋งก็เกือบเจ็ดโมงเช้านั่นแหละ ผมหยอกกลับไปว่า คนอื่นหลับได้แต่พี่ห้ามหลับนะครับ แต่จริงๆก็ค่อนข้างเชื่อฝีมือแหละครับ ได้คุยสัมภาษณ์พี่เค้าแล้วก็รู้ว่าเป็นคนแม่ฮ่องสอนอยู่แล้ว ขับเส้นนี้มานานเป็นประจำ ผมเริ่มเบาใจ และก็ยอมรับว่ามีวูบหลับในไปหลายครั้ง นี่ถ้าขับเองคงไปไม่ถึงปางอุ๋งแล้ว

นั่งลุ้นระทึกไม่นานก็ถึงปางอุ๋ง ตามเวลาที่พี่เค้าบอกไว้ น่าเสียดายที่พระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว แต่ก็ยังทันซึมซับบรรยากาศยามเช้าของปางอุ๋งอยู่ อากาศเย็นยะเยือก หรือจะใช้คำว่าหนาวเหน็บดี ไม่รู้ว่าจะเป็นคำไหน แต่รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในช่องฟรีซของตู้เย็น อุณหภูมิขณะนั้น 7 องศาเซลเซียส ผมเคยเจอ 0 องศาที่น้ำหนาว แต่ที่นี่หนาวแล้วแถมมีลมแรง พัดเอาไอน้ำจากอ่างเก็บน้ำขึ้นมาอีก เสื้อ รด. ไม่ช่วยอะไรอีกแล้ว

สิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ไอน้ำขาวบริสุทธิ์ลอยล่องอยู่เหนือผิวน้ำ สีน้ำสะท้อนสีเขียวของต้นไม้ผสมสีฟ้าของท้องฟ้า ตัดกับสีน้ำตาลอ่อนๆของพื้นดินที่ยึ่นเข้าไปในผิวน้ำ และที่ประทับตราตรึงในใจผู้ที่พบเห็นที่สุดคงเป็น ทิวสน ที่ปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ อันเป็นพระราชดำริในการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ของพ่อหลวงของเรา

ที่ริมตลิ่งมีบริการแพพร้อมฝีพายให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสผิวน้ำใกล้ๆ และในยามเช้าแบบนี้ก็มีพระออกบิณฑบาตร พระทุกรูปสวมเพียงจีวร ไม่มีเครื่องกันหนาวใดๆ ไม่สวมรองเท้า และไม่มีการแสดงอาการหนาวแต่อย่างใด เราเองใส่มาครบๆ ปากยังสั่นอยู่เลย

กี่ร้อยกี่พันคำบรรยายคงไม่เพียงพอที่จะบอกความสวยแบบมหัศจรรย์ สวยเหมือนอยู่ในความฝัน ของปางอุ๋ง ไม่น่าแปลกใจถึงคำกล่าวขานถึงที่แห่งนี้ ดื่มด่ำบรรยากาศอยู่ได้พักใหญ่ แดดเริ่มทอแสงสีทอง อากาศเริ่มอุ่นขึ้น ถึงเวลาที่เราจะไปอีกที่หนึ่งแล้ว

ผมมารออยู่แถวที่จอดรถข้างวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านรวมไทย ที่อยู่รักษาปางอุ๋งแห่งนี้ เป็นวัดที่มีเพียงสิ่งจำเป็นเพียงไม่กี่อย่าง ก็เพียงพอต่อการทำหน้าที่ขัดเกลาจิตใจของคนในชุมชนอย่างพอเพียงแล้ว

จุดหมายถัดไป หมู่บ้านรักไทย ยอมรับว่าไม่เคยรู้จักหมู่บ้านแห่งนี้ พี่คนขับบอกว่าเป็นหมู่บ้านของชาวจีนยูนานอพยพ นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน แต่พอขับเข้ามาก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสถานที่อันสวยงามแบบจีนโบราณ บ้านพักปลูกอยู่ริมทะเลสาบด้านหลังอิงภูเขา ปลูกลดหลั่นกันลงมาตามไหล่เขา มีบางส่วนยื่นออกไปในทะเลสาบ ทิวทัศน์แบบนี้นึกถึงจินตนาการยามที่ได้อ่านนิยายจีนกำลังภายใน เหมาะกับเป็นที่มาฝึกวิทยายุทธยิ่งนัก

บ้านพักส่วนหนึ่งถูกดัดแปลงมาเพื่อเป็นร้านอาหารและร้านค้า ซึ่งก็มีด้วยกันหลายร้าน บางแห่งมีที่พักไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วย ร้านที่เรามาชื่อ ร้านลีไวน์รักไทย ค่อนข้างดังทีเดียว มีป้ายกำกับไว้ว่าทีวีหลายช่อง หนังสือพิมพ์หลายฉบับ มาถ่ายทำการันตีความอร่อยไว้แล้ว

เมนู ที่พวกเรากลุ่มที่มาด้วยกัน รวมทั้งอีกสองคันที่ซื้อทัวร์จากร้านเดียวกัน ได้กินก็เป็นแบบฟูลคอร์ส อลังการงานสร้างยิ่งนัก ไล่ตั้งแต่ขาหมูตุ๋นน้ำแดงที่แทบจะละลายในปาก พร้อมหมั่นโถว ยำใบชา ผัดผักซาโยเต้ แกงจืดเต้าหู้ ปลาสามรส และเห็ดแดดเดียว เสริฟพร้อมกับชาร้อนชงสดๆ รสชาติต่างๆ อเมซิ่งสุดๆครับ งานนี้ผมคนเดียวเหมาขาหมูไปเกือบทั้งขา เนื่องจากเพื่อนร่วมทางเป็นมุสลิม ไม่ได้มาทานอาหารร่วมกับเรา และที่เหลือก็เป็นสาวๆทานน้อยอยู่แล้ว เสร็จผม อิ่มแล้วยังมาได้ชิมผลไม้ตากแห้ง ที่ร้านขายของของร้านอีก น่าเสียดายที่พลาดชิมไวน์ผลไม้ของทางร้าน

บางครั้งการต้องลาทั้งๆที่ยังมีความสุขสุดๆ ก็เป็นเรื่องดี ให้เราได้เก็บแต่ความทรงจำที่ดีที่สุดกลับไป เหมือนทานอะไรแล้วต้องไม่ให้อิ่มจนเกินไป ปล่อยให้เหลือความอยากไว้บ้าง เราใช้เวลที่นี่เกือบสองชั่วโมง ถึงเวลาต้องไปจุดหมายถัดไปแล้ว

ภูโคลน คือจุดหมายถัดมา ก็ไม่เคยได้ยินอีกแล้ว มันคืออะไรภูเขาที่มีแต่โคลนหรือ พอมาถึงก็ร้องอ๋อ มันคือ บริเวณที่มีการขุดพบโคลนที่มีแร่ธาตุตามธรรมชาติ สามารถมาใช้ประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงผิวหน้าผิวการ นำมาทำเครื่องสำอางค์ พอกหน้าพอกตัวได้ เก๊ทแล้วครับ

ไหนๆมาแล้วก็ต้องลองซักหน่อย ทั้งๆที่รู้ว่าหน้าอย่างผมมันคงไม่ช่วยอะไรมาก พอกหน้าทิ้งไว้พอแห้งมันจะตึงหน้าจนขยับไม่ได้ ต้องเงียบปากไป 15 นาที ล้างออกแล้วก็รู้สึกว่าสิ่งสกปรกบนหน้ามันถูกดูดออกไปพร้อมโคลน แต่สรรพคุณอื่นๆ ไม่แน่ใจเหมือนกัน

นั่งชิลๆ ที่ภูโคลนพักใหญ่ ต้องเปลี่ยนสถานีอีกครั้ง อากาศเริ่มร้อนแล้ว ตัวเองก็ใส่ชุด รด. มา รู้สึกเหมือนกลับมาเรียน รด. อีกครั้ง จุดต่อไป หมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว เราค่อยๆเข้าใกล้ อ.เมืองแม่ฮ่องสอนไปทุกขณะ

หมู่บ้านกระเหรี่ยง บรรยากาศก็คล้ายคลึงหมู่บ้านม้งบนดอยปุยที่ไปมาแล้ว แต่พอเดินๆไป ผมเห็นนักท่องเที่ยวถ่ายภาพ ซึ่งก็รวมทั้งตัวผมเองด้วย แล้วรู้สึกไม่ดีนัก ที่เรามองเค้าเหมือนของแปลก เดินได้แป๊บเดียวก็เลยขอมารถที่รถดีกว่า

หนุ่มๆ เริ่มทยอยเดินกลับมาที่รถ ระหว่างรอสาวๆ ช็อบปิ้งของชาวเขาชาวดอยกัน ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ๆ ชาวมุสลิมทั้งสาม ด้วยความเป็นห่วงว่าได้ทานอะไรหรือยัง เพราะพวกเราที่เหลือทานกันอิ่มแปล้ ตั้งแต่อยู่ที่หมู่บ้านรักไทยแล้ว พี่ๆทั้งสามก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ทานไปบ้างแล้ว และก็เรื่องอดอาหารที่ทนได้อยู่แล้ว และจากที่ได้คุยมาตลอดทางที่เหลือก็ได้ทราบว่า พี่ๆ เป็นพยาบาลอยู่ถึง อ.เบตง จ.ยะลา มาเที่ยวไกลถึงเชียงใหม่ แต่นั่งเครื่องบินมา ต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ ใช้เวลาน้อยกว่าผมนั่งรถทัวร์มาซะอีก

พอได้เจอคนที่มาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็อดที่จะถามไถ่สถานการณ์ และความเป็นอยู่จริงๆ ของผู้คนที่นั่นไม่ได้ พี่ๆ ก็บอกว่า ก็ต้องอยู่ด้วยความระมัดระวังตัวตลอด แม้จะเป็นมุสลิมก็ไม่เว้น เพราะคนร้ายไม่เลือกว่าจะโดนใครอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดจะทิ้งพื้นที่ เพราะที่นั่นคือบ้านของพวกเค้า

สักพักสาวคนสุดท้ายก็เดินออกมาจากย่านร้านค้า และก็ได้รู้ว่าจริงๆแล้ว 1 หนุ่ม 2 สาวที่เดินมาขึ้นรถเมื่อเช้าพร้อมกันนั้น จริงๆ แล้ว เป็นแฟนกันคู่หนึ่ง แต่อีกหนึ่ง เป็นสาวที่มาเที่ยวปายคนเดียว เอาล่ะสิ ไอ้เราก็เป็นหนุ่มมาเที่ยวปายคนเดียวเหมือนกัน แบบนี้เดี๋ยวมีเรื่องสิครับ

พี่คนขับที่ซี้กับผมแล้วก็เป็นใจเหลือเกิน เชียร์ซะเขินกันไปทั้งรถ แหมต่อหน้าต่อตา ยุให้แลกเบอร์กันอยู่ได้ แหม ของอย่างนี้ เดี๋ยวรอให้อยู่สองต่อสองสิครับพี่ จะรีบไปไหน ว่าแล้วก็มุ่งหน้าต่อไป วัดชื่อดังแห่งเมืองแม่ฮ่องสอน วัดพระธาตุดอยกองมู แต่ทางไปพี่คนขับพาวนในตัวเมืองให้ดูบ้านเมืองของที่นี่ แถมด้วยพาชมวัดสวยๆ ที่ผู้คนมักชอบมาถ่ายภาพ นั่นก็คือวัดจองคำและวัดจองกลาง ที่เปรียบเหมือนวัดคู่แฝด กลางเมืองแม่ฮ่องสอน สร้างแบบศิลปะชาวไทยใหญ่ ด้านหน้าเป็นสวนสาธารณะหนองจองคำ เสียดายที่ไม่ได้อยู่ถึงช่วงค่ำที่จะเปิดไฟประดับสวยงามไปอีกแบบ

พี่คนขับพาขึ้นเขาอีกครั้งไปยังวัดสำคัญอีกแห่งของเมืองแม่ฮ่องสอน วัดพระธาตุดอยกองมู มองจากด้านบนลงมาเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนโดยรอบ สวยงามแต่แดดแรงเหลือหลาย สังเกตท้องฟ้าด้านหลังพระธาตุสิครับ ฟ้าเป็นฟ้า ไม่มีเมฆบังซักนิด ตัวพระธาตุสีขาวสะท้อนแสงจนแสบตา

เราไปยังที่หมายสุดท้ายก่อนจะกลับไปชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวกิ่วลม พี่คนขับบอกว่าเราจะไปถ้ำปลากัน ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าต้องเป็นถ้ำที่มีปลา และก็เป็นดังว่า บริเวณโดยรอบเป็นจัดเป็นสวนมีลำธารผ่ากลางไปถึงถ้ำปลา แม้จะจัดทิวทัศน์ได้สวย แต่เนื่องจากบ่ายแก่ๆ อากาศร้อนจัด เป็นอุปสรรคต่อการชมความงาม ถ่ายรูปปลาในถ้ำเสร็จผมขอมาหาที่ร่มๆนั่งพักดีกว่า ส่วนพี่คนขับเริ่มออกอาการง่วง ของีบบนรถดีกว่า

ขากลับเวลาบ่ายแก่ๆ แบบนี้ มันน่าง่วงซะจริง คนอื่นๆ บนรถหลับกันหมดแล้ว เหลือผมกับพี่คนขับสองคนอีกแล้ว ผมบอกพี่คนขับไปว่า นาทีนี้พี่รู้มั้ยว่าผมห่วงใครมากที่สุด ไม่ใช่พ่อใช่แม่นะ แต่เป็นพี่นี่แหละ โอเค ผมจะดูแลพี่อย่างดี ด้วยการชวนคุยเป็นระยะๆ พร้อมป้อนลูกอมแก้ง่วง บางเวลาพี่เค้าก็จะคั่นด้วยการโทรหาเมีย โทรหาเมียนี่ช่วยแก้ง่วงได้จริงๆ คอนเฟิร์ม!!!

ลุ้นไม่กี่อึดใจ ก็มาถึงจุดชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างปลอดภัย เรามาก่อนเวลาพอสมควร มีเวลาพอจะเก็บภาพสวยๆ โดยรอบ แถมยังได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทางกันมาอย่างครื้นเครงมากขึ้น ความห่างเหินที่เป็นตอนที่เพิ่งขึ้นรถมาเมื่อเช้า ตอนนี้หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน คนเราบางทีรู้หน้าก็ไม่รู้ใจ เห็นพี่ๆสามคนจากชายแดนใต้หน้าเข้มๆ แล้วนึกไม่ถึงว่าจะอารมณ์ดีกันได้แบบนี้

ส่วนน้องสาวคนที่หนีแม่มาเที่ยวนั้น ก็แสบใช่ย่อย ยอกย้อนพี่ๆผู้ชายได้ทันกัน ดูแล้วไม่แปลกใจเลยที่กล้าจะมาเที่ยวเพียงลำพังแบบนี้ เพราะเธอมีปากเป็นอาวุธชั้นดีนี่เอง ว่าผมเหมือนทหารเวียดนาม เพราะชุด รด. ที่ผมใส่อยู่ ผมเลยให้ไปบอกแม่ว่ามาเที่ยวเนี่ย มากะทหารเวียดนามคนนึง มากะพี่ๆ สามคนจากชายแดนใต้ละกัน ก็บริหารฝีปากกันไปครับ

และแล้วก็ถึงเวลากลับ และต้องแยกย้ายจากกัน คนอื่นๆ ร่ำลาพี่คนขับ ส่วนผมบอกกับพี่คนขับไว้ว่าจะไปช่วยขายแพคเกจที่ถนนคนเดินด้วย เชื่อว่าความประทับใจของผม พร้อมกับรูปสวยๆที่ถ่ายมาจะช่วยกระตุ้นให้คนอยากไปเที่ยวมากขึ้นแน่ๆ ผมกลับเข้าที่พักก่อนเพื่ออาบน้ำแต่งตัว ก่อนออกมาเดินเล่น และหาอะไรทานที่ถนนคนเดิน ก่อนที่จะไปช่วยขายตามที่สัญญาไว้

เดินมาจากที่พักก็จอดเอาร้านแรกที่เห็นซะเลย หิวจัด เห็นอะไรก็น่ากินไปหมดแล้ว เป็นร้านรถเข็นขายอาหารตามสั่งเล็กๆ จะเน้นไปที่ข้าวผัด ผัดไท ข้าวไข่เจียว หิวขนาดนั้นเลยขอทั้งข้าวผัดและข้าวไข่เจียว เบิ้ลไปเลย ขนาดว่าสองจานแล้ว ก็ยังไม่อิ่มนัก แต่เก็บพื้นที่กระเพาะไว้กินอย่างอื่นต่อดีกว่า

ตอนกินๆอยู่ ก็มีคนสะกิดจากด้านหลัง ปรากฎว่าก็เป็นน้องสาวคนไปเที่ยวด้วยกันนั่นเอง สภาพเหมือนเดิมยังไม่อาบน้ำ เธอบอกว่าไปงีบมา ทักกันแป๊บๆ เธอก็ขอตัวไปหาอะไรกินข้างหน้า ถ้ายังเดินๆอยู่ถนนนี้เดี๋ยวคงได้เจอกันอีก

กินอิ่มแล้ว ผมเดินไปหาพี่คนขับที่ร้าน กะว่าจะไปช่วยขาย แต่ที่ไหนได้ไปถึงพี่เค้าบอกว่า สบายแล้ววันนี้ ได้คนครบแล้ว พอดีพี่อีกคันเค้าโอนลูกค้ามาให้ อ้าว แบบนี้ผมก็เลยอดโชว์ความประทับใจให้คนที่ยังไม่ได้ไปได้เห็นเลยสิ ไม่เป็นไร กลับกรุงเทพแล้วมาอวดเพื่อนๆก็ได้

บรรยากาศเย็นๆ พาให้เท้าก้าวไปบนถนนคนเดินอีกครั้ง เป็นคืนที่สองติดต่อกันแล้ว เริ่มรู้สึกคุ้นเคย สัมผัสได้ถึงความชิล ความเป็นกันเอง ของผู้คนที่นี่ คนเที่ยว ต่างมีจุดหมายเดียวกันคือมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่ ความกังวล ความเครียดต่างๆ ถูกทิ้งไว้ที่บ้าน ผู้คนที่นี่เลยมีแต่รอยยิ้ม และแอคสวยๆ เวลาที่ได้อยู่หน้ากล้อง กับฉากหลังน่ารักๆ ที่ร้านรวงต่างๆ จัดไว้ เชื่อว่าแทบทุกวินาทีของถนนสายนี้ต้องมีกดชัตเตอร์ หรือแสงแฟลชวูบวาบตลอดเวลา บางร้านสวยมาก คนถ่ายรูปกันมากจนแทบหาจังหวะโล่งๆ ถ่ายให้เห็นตัวร้านไม่ได้

บรรยากาศแบบนี้ เหมาะเหลือเกินที่จะพาคู่รักมาเดินจูงมือกันไป ไอ้เรามันมาคนเดียวก็อดไม่ได้ที่จะคิดจริงๆ เที่ยวป่า เที่ยวเขา ยังไม่เท่าไร มาเดินถนนปาย เห็นหนุ่มสาวเป็นคู่ๆ แล้วมันเหงาพิลึก เฮ้อ คราวหน้าผมจะไม่มาคนเดียวละ คอยดู ฝากไว้ก่อนเถอะปาย

เดินไปสายตาก็มองๆ หาน้องสาวคนนั้น ในใจคิดว่าถ้าเจออีกครั้ง จะขอเดินไปด้วยกันละ จะต่างคนต่างเดินคนเดียวทำไม อย่างน้อยก็มีคนถ่ายรูปให้แหละน่า และแล้วก็เจอเข้าจนได้ ที่ร้านโปสการ์ดชื่อดัง เธอยืนเลือกโปสการ์ดสวยๆอยู่ ผมดีใจเล็กน้อย ถามไปว่าเลือกได้ยัง เธอตอบมาว่า เออพี่ เจอเพื่อนแล้วแหละ สบายแล้ว อ้าว... ว่าจะมาชวนเดินไปด้วยกันอยู่พอดี อดเลย

เธอยังก้มหน้าก้มตาเลือกต่อไป ผมค่อยๆเดินจากมาโดยไม่ได้ร่ำลาอะไร บอกแล้วว่ากินข้าวอย่ากินให้อิ่มเกิน ให้มันเหลือความอยากไว้บ้าง กะว่าจะกลับที่พักแล้ว ระหว่างทางนึกจะเดินย้อนไปหลายครั้ง มันก็มีเพียงสองคำตอบว่าเดินกลับไป หรือไม่ สุดท้ายใจมันเลือกที่จะไม่ แล้วก็กลับเข้าที่พักดีกว่า จบกัน แทนที่จะได้เป็นพระเอกปายอินเลิฟกะเค้าบ้าง

จริงๆ ก็เขียนให้มันเวอร์ๆไปอย่างนั้นแหละครับ เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไรมาก แค่เสียดายที่ไม่มีเรื่อง แหมถ้ามีเรื่องรักๆใคร่ๆ เข้ามาอีกน้อยทริปนี้คงสุดยอดกว่านี้ แต่แค่นี้นี้ก็ดีมากมายสำหรับผมแล้ว บอกแล้วว่าอย่ากินอิ่มเกิ๊น

( พี่คนขับที่แสนจะประทับใจ ไปปายอีกคราวไหนจะไปเยี่ยมนะครับ )

ผมเลือกกลับเข้าที่พักแล้วอาบน้ำอีกครั้งเพื่อเข้านอนดีกว่า คิดไว้ว่าพรุ่งนี้จะตื่นเช้าอีกครั้ง จะไปขี่จักรยานฝ่าความเย็นยะเยือก ไปวัดน้ำฮู และหมู่บ้านสันติชนที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 3 - 4 กิโลเมตร ตั้งใจไว้ว่าพระอาทิตย์เริ่มจะขึ้นก็จะออกเดินทางทันที คืนนี้ขอนอนพักแล้วครับ เป็นวันที่ทรหดอดทนอีกวันหนึ่ง ... ฝันดีนะน้องสาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น