วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตที่งดงามของฉัน《我的美丽人生》...แล้วฉันจะรักและคอยปกป้องคุ้มครองเธอเอง

ช่วงที่ผ่านมาผมได้ติดตามละครจีนเรื่องหนึ่งที่ฉายทางช่อง CCTV ตอนช่วงประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ ไปจนถึง 1 ทุ่ม แม้จะมีอุปสรรคด้านภาษา ฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เพราะโครงเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนนัก เป็นเรื่องในครอบครัวอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทั้งคนไทยคนจีนก็น่าจะพบเจอ หรือเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ



( นางเอกสาวสวย สุดแสนจะน่ารัก น้องหม่าซู คนนี้ ที่ทำให้ผมต้องดูต่อจนจวนจะจบเรื่องแล้ว )


ละครเรื่องนี้มีชื่อว่า我的美丽人生 หรือเป็นไทยก็ " ชีวิตที่งดงามของฉัน " เรื่องราวความรักของชายหญิงคู่หนึ่ง กับอุปสรรคคือแม่ของฝ่ายชาย ฟังดูก็เป็นปัญหาเบสิค ของครอบครัวไทยเหมือนกัน พระเอกเป็นหนุ่มซื่อๆ อาจจะเรียกได้ว่าโง่ทีเดียว แต่มีความดีเป็นที่ตั้ง ซื่อสัตย์ กตัญญู และมุมานะ กับสิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันของตัวเอง นั่นคือการเป็นนักออกแบบเสื้อผ้า



ส่วนนางเอกเป็นสาวน่ารักสดใส แสนดีกับทุกคน โดยเฉพาะคนรักของตัวเอง ซึ่งก็คือพระเอก และแม่ของพระเอกนั่นเอง ติดแต่เพียงมีงานที่ต่ำต้อยในสายตาของคนอื่น นั่นคือการเป็นแค่ แม่บ้านรับจ้าง ซึ่งไม่เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจนักของแม่พระเอก ทั้งที่ตัวแม่พระเอกเองก็ทำงานเป็นแม่บ้านมาตลอดชีวิต ส่วนนึงคือความรักต่อลูกชาย ที่อยากจะให้ลูกชายได้คู่ครองที่ดีที่สุด ตามประสาแม่ โดยเฉพาะ แม่ที่มีลูกชายเพียงคนเดียว ในสังคมจีน


แต่นางเอกก็หาได้ท้อถอย สู้เอาความดี ความน่ารักสดใสของตัวเอง ประเคนใส่ทั้งพระเอก และแม่ ถ้าใครได้ดู คงสัมผัสได้อย่างที่ผมมีความประทับใจต่อนางเอก และละครเรื่องนี้ แม้วันนี้ละครยังไม่จบแต่ผมก็พอเดาได้ว่า ความดีของนางเอกจะชนะใจแม่สามีในอนาคตแน่ๆ



ในตอนหนึ่งที่แม่พระเอก พยายามหาคู่ให้ลูกชายด้วยการไปนัดดูตัวที่บริษัทจัดหาคู่จัดให้ แต่ก็ต้องผิดหวังไปหลายครั้งเพราะ แม้ลูกสาวของครอบครัวนั้นๆ จะมีการศึกษาสูง มีหน้าที่การงานดี มีฐานะดี หน้าตาดีเพียงใด แต่ก็หาโดนใจไม่ เพราะจริงๆแล้ว ในใจแม่ผู้รักลูกที่สุดคนนี้ก็รู้ดีว่า คนที่เหมาะสมที่สุด ก็คือคนที่รักและดีต่อลูกชายของตัวเองด้วยความจริงใจ ที่อยู่ใกล้ๆตัวนี่เอง



( ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าสาวสวยสุดเซ็กซี่คนนี้ 艾尚真 เป็นคนร้องเพลงจบละครเพราะๆเพลงนี้ )


เรื่องมันธรรมดาจริงๆ แต่ต้องชมว่าทำออกมาได้น่าติดตาม ตัวละครแต่ละตัวทำหน้าที่ได้อย่างดี แม้จะไม่มี หนุ่มหล่อสาวสวยอย่างละครเกาหลี หรือตบจูบเร้าใจอย่างละครไทย ยังดูเชยๆตามสไตล์ละครจีน ที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์ ความรู้สึกนึกคิดระหว่างคนในครอบครัว น่าเสียดายที่ผมยังไม่เห็นมีการแปลเป็นภาษาไทย ลงในสื่อใดๆ ไม่งั้นคงจะเชิญชวนให้ไปติดตามชมกัน



แต่แม้จะไม่ได้ชมตัวละคร ผมก็ขอเอาเพลงจบของเรื่องมาฝาก แค่ผมได้ฟังทำนองเพียงครั้งแรกก็รู้สึกว่ามันซื้งมากๆ พยายามหาคำแปลมา ก็ไม่ผิดจากที่รู้สึกครั้งแรกจริงๆ


( แปลผิดถูกประการใดก็ขออภัย ขอผู้รู้ช่วงแก้ด้วยนะครับ )


เชิญสดับรับฟังได้ตามลิ้งค์นี้ 守护着你爱着你


http://www.tudou.com/programs/view/yTULAubM1Uc/


一束阳光靠在我的窗上 แสงอาทิตย์ส่องผ่านบานหน้าต่างของฉัน 静静填补昨夜的空白 ค่อยๆเติมเต็มค่ำคืนอันว่างเปล่า 一粒尘埃被那微风吹拂 ฝุ่นเล็กๆถูกสายลมพัดพาไป 飘向天外带走我悠悠情怀 สู่ฟากฟ้านำไปพร้อมความรู้สึกของฉัน 空气是如此清新熟悉 อากาศสดชื่นที่คุ้นเคยเช่นนี้ 城市的钟声与风相遇 เสียงระฆังแว่วมาเมื่อสายลมพัดผ่าน 树叶在发芽充满生机 ใบไม้เริ่มผลิใบเต็มไปด้วยชีวิตชีวา 城市的雾气渐渐散去 สายหมอกในเมืองค่อยๆกระจายออก 我在触摸你的痕迹 ฉันกำลังได้สัมผัสกับร่องรอยของเธอ 一心编织梦的神奇 ตั้งใจที่จะถักทอฝันที่วิเศษเช่นนี้ 我在倾听你的呼吸 ฉันกำลังฟังเสียงลมหายใจเธออย่างตั้งใจ 守护着你爱着你 รัก และคอยปกป้องคุ้มครองเธออยู่อย่างนี้

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

人为什么活着?...คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร...อีกหนึ่งคำตอบดีๆที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอีกครั้งกับ Dream Rangers

‎3.11 นาทีที่จะเรียกน้ำตา และความศรัทธาในการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง ผมเคยคิดอยู่บ่อยครั้งว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร คำตอบเปลี่ยนไปมาทุกครั้ง บางครั้งก็หลงลืมจุดมุ่งหมายที่เคยตั้งไว้ สิ่งที่จะได้ชมต่อจากนี้ อาจกระตุ้นสิ่งที่หลงลืมเหล่านั้นกลับมา

人为什么活着?..... คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

为了思念?..... เพื่อคิดถึงใคร

为了活扎实?..... เพื่อแค่มีชีวิตอยู่ต่อไป

为了活更长?..... เพื่ออายุที่ยืนขึ้นอีก

还是为了离开?..... หรือเพื่อเห็นใครสักคนจากเราไป

5个台湾人, ชายชราชาวไต้หวัน 5 คน

平均年龄81岁,อายุเฉลี่ย 81 ปี

一个重听, หนึ่งคนบกพร่องทางการได้ยิน

一个得了癌症, หนึ่งคนตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง

三个有心脏病, อีก 3 คนเป็นโรคหัวใจ

每一个都有退化性关节炎。 และทุกคนมีอาการของโรคไขข้อและกระดูก

6个月的准备, กับ 6 เดือนสำหรับการเตรียมพร้อม

环岛13天, ที่จะขี่มอเตอร์ไซค์รอบเกาะไต้หวัน

1139公里, ระยะทาง 1139 กิโมเมตร

从北到南, จากเหนือจรดใต้

从黑夜到白天, จากค่ำคืนอันมืดมิด สู่แสงของวันใหม่

只为了一个简单的理由 ..... เพียงเพื่อเหตุผลธรรมดาข้อเดียว....

For ordinary people with extraordinary " DREAMS "

ผลงานโฆษณาชิ้นนี้ เป็นของ Ogilvy & Mather ไต้หวัน สร้างจากเรื่องจริงของกลุ่มนักบิดไต้หวัน วัยเฉลี่ยกว่า 81 ปี โดยมีครีเอทีฟและผู้เขียนบท คือ เจนนิเฟอร์ หู ออกแบบศิลป์ โดย ลีอา เฉิน และกำกับฯ โดย ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับมือหนึ่งของ Phenomena ประเทศไทย ที่ทำให้ "Dream Rangers" กำลังเป็นภาพยนตร์โฆษณาที่คนไต้หวันและชาวเน็ตฯ จีนแผ่นดินใหญ่ชื่นชอบกันในขณะนี้

"Dream Rangers" จัดเป็นเรื่องราวที่ให้กำลังใจ และพิสูจน์ว่าศักยภาพของมนุษย์นั้นไร้ขอบเขตไม่ได้ขึ้นกับวัยและสังขาร เหมือนคำกล่าวในภาษิตจีนที่ว่า "ภัยของวัยชรา หาใช่ความเสื่อมถอยของร่างกาย แต่คือการถดถอยทางจิตวิญญาณ และความฝันต่างหาก"

"Dream Rangers" โฆษณาของ TC Bank ฝีมือคนไทย


( ขอบคุณข้อมูลจากเว็บผู้จัดการ http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000017138 )


วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

ภูกระดึง In Love ... รักนิด เจ็บหน่อย อร่อยใจ #2

เสียงเพลงเบาๆจากข้างล่างแต่เช้า ร้านนี้เปิดเช้าจริงๆ ผมตื่นขึ้นมาก็จัดการเก็บกระเป๋าพร้อมเดินทางต่อ ซึ่งก็ยังไม่รู้จุดหมายที่แน่ชัด เพียงแต่อยากใช้เวลาวันหยุดที่มีให้คุ้มค่าที่สุด มาเชียงคานวันแรกนี้ถือว่าได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว อยู่บ้านไม่เคยนอนถึง 14 ชั่วโมงต่อวันแบบนี้ วันนี้กายพร้อมใจพร้อมแล้ว

ออกจากที่พักไปรอขึ้นรถสองแถวเข้าตัวเมืองเลย ที่ถนนใหญ่ ทราบมาว่า จะมีมาทุกๆ 15 นาที ไม่ก็ครึ่งชั่วโมง ผมเดินออกมาก็เจอเลย รถว่างนั่งสบาย ราคาไม่แพง เพียง 35 บาท ก็ส่งถึงท่ารถเมืองเลย ระหว่างทางก็มีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ให้ชมสองข้างทาง อากาศค่อนข้างหนาว เพื่อนรวมทางของผม มีทั้งนักเรียนนักศึกษา แม่ค้าขายดอกกุหลาบ ที่ขนเอากุหลาบไปขายในเมือง

ระหว่างเดินทางจากเชียงคานถึง เมืองเลย ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ผมใช้เวลานี้ชมธรรมชาติไป และคิดถึงจุดหมายต่อไป จะไปน่านอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็เสียดายที่อุตส่าห์มาถึงเมืองเลยแล้ว ก็ควรจะเที่ยวอยู่แถวนี้ดีกว่า ไม่รู้ว่าภูกระดึง ชื่อนี้ผุดขึ้นมาในหัวตอนไหน น่าจะเป็นเพราะฝังใจว่าสมัยเรียนไม่ได้มาลุยภูกระดึงอย่างที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ทำกัน

( ทางขึ้นภูกระดึง ชั้นแรก โหดรับน้องทีเดียว ที่สำคัญข้างหน้าข้างหลัง ไม่มีคนเลย )

แต่มามองสภาพความพร้อมตัวเองแล้ว เสื้อผ้าที่เตรียมมา ก็มีเพียงเสื้อยืดไม่กี่ตัว กางเกงขาสั้นล้วน รองเท้าแตะ และเสื้อกันหนาว 1 ตัวเท่านั้น เพราะทีแรกตั้งใจมาพักผ่อนสบายๆแค่นั้น แต่นี่ กำลังจะไปลุยในที่ที่เป็นตำนานแห่งขุนเขา ตำนานของหนุ่มสาว แต่เราดันมาตอนวัยรุ่นตอนปลาย กับสภาพการแต่งกายอย่างนี้ เอาไงเอากัน เมื่อกายพร้อมใจพร้อม อะไรก็คงไม่สำคัญไปกว่านี้แล้ว

ผมลงรถสองแถวที่ท่ารถเมืองเลย สอบถามหารถไปภูกระดึง ก็ได้รถ เมืองเลย ขอนแก่น ที่จะผ่านและให้ลงตรงทางขึ้นอุทยานเลย สะดวกมากๆครับ ลงจากรถทัวร์ปุ๊บ ก็มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาคอยบริการทันที 50 บาท จากจุดลงรถถึงอุทยาน ระหว่างทาง ได้รับคำแนะนำดีๆอีกหลายอย่าง

ถึงอุทยานแล้วสัมผัสได้ว่าข้างบนหนาวมากแน่ๆ ผมสอบถามเรื่องที่พักจากสำนักงานข้างล่าง ได้ความว่าสามารถเช่าเต้นท์อุทยานที่สำนักงานข้างบนได้เลย วันธรรมดาแบบนี้ นักท่องเที่ยวน้อย ที่พักเหลือเฟือ ( หมายถึงเต้นท์นะครับ ส่วนที่เป็นบ้านพักต้องจองล่วงหน้า ไม่งั้นอดครับ )

( การเดินทางจะมีความหมายมากขึ้น เมื่อมีผู้ร่วมทาง )

ผมเริ่มเดินขึ้นด่านแรกแบบไม่ค่อยรู้อะไรมาก ได้ยินมาว่าโหด แต่มั่นใจว่าแรงผู้ชาย เคยไปเขาชนไก่กันมา สัมภาระก็ฝากลูกหาบไปแล้วแบบนี้ ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ร่างกายคงไหวอยู่แล้ว ระหว่างชั้นแรกที่เดินขึ้นไปนั้น ข้างหน้าผมก็ไม่เห็นคน ข้างหลังผมก็ไม่มีใครตามมา มีเพียงลูกหาบเดินสวนมาอยู่สองคนแค่นั้น ทางก็ชันใช้ได้ทีเดียว รวมกับรองเท้าแตะที่ไม่ควรเลยสำหรับการมาเดินป่าขึ้นเขาอย่างนี้ ก็ยิ่งเพิ่มความยากให้สนุกตื่นเต้นเข้าไปอีก

เดินจนเกือบถึงที่พักแรก ในใจเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง ผมมั่นใจว่าเรื่องแรงกายนั้น สามารถขึ้นไปไหวแน่นอน แต่แรงใจนี่สิ แค่ชั้นแรกที่ผ่านมา ต้องเดินคนเดียว ได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเอง มันทำให้เริ่มรู้สึกถอดใจ มันเหงาเกินไปหรือเปล่า และเรากำลังมาทำอะไรที่นี่

( ทางลำบากก็ไม่หวั่น ถ้าใจไปถึง )

คิดได้เช่นนั้นแล้ว ในใจก็ตั้งมั่นว่า ที่พักชั้นแรกนี้จะต้องขอตามกลุ่มไหนซักกลุ่มขึ้นไปให้ได้ และถ้าไม่มีใครจริงๆ ก็อาจจะกลับลงมาดีกว่า ฝนหลงฤดูก็เริ่มโปรยปรายลงมา คงต้องของหลบที่ร้านค้า แวะกินข้าวเช้าเอาแรง กับรอตามกลุ่มคนอื่นไปจะดีกว่า

หลายครั้งแล้วที่ผมเดินทางคนเดียว แล้วมักจะเจอโชค โชคที่ดีที่สุดก็คือการได้เจอเพื่อนร่วมทางที่ดี ได้มิตรภาพเป็นของฝากกลับบ้านทุกครั้ง และครั้งนี้ โชคก็เข้าข้างผมอีกครั้ง ผมเห็นน้องๆกลุ่มหนึ่ง ดูท่าทางคุ้นๆ เหมือนเห็นที่เชียงคานเมื่อวานนี้ เลยลองถามไถ่ดูปรากฎว่าเป็นจริงอย่างที่คิดไว้ น้องๆไปพักที่เชียงคานเมื่อคืนนี้ เหมือนกันกับผม แต่คงมีแค่ผมที่จำน้องๆได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาครับ

เหมือนฟ้าส่งนางฟ้า 7 คน ลงมาให้ น้องๆกลุ่มนี้เป็นนักศึกษา เดินทางกันมาแบบหญิงล้วน เนื่องจากได้โอกาสหยุดช่วงกีฬามหาลัย ได้คุยไม่กี่คำก็รู้ได้ว่า น่าจะเป็นกลุ่มที่สนุกสนานเฮฮาดี ทันใดนั้นเองผมก็รู้สึกได้แล้วว่า ขึ้นภูกระดึงคราวนี้ไม่เหงาอีกแล้ว

ความยากลำบากบนทางที่เดินไป เพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อสายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่เคยแห้งกลับเปลี่ยนเป็นดินลื่นๆ ผมคอยเดินคุมท้ายไป จึงสังเกตเห็นน้องๆได้ตลอด ต้องขอปรบมือชื่นชม น้องๆผุ้หญิงกลุ่มนี้ทุกคนที่ใจสู้ไม่แพ้ผุ้ชาย ถึงจะไม่มีกำลังเทียบเท่าผุ้ชาย น้องๆก็ใช้วิธีค่อยๆเดินไปตามกำลังของตัวเอง เหนื่อยก็พักไปตามทาง ค่อยๆไปแบบนี้ กลับจะดีซะกว่าตรงที่ว่า ได้ใช้เวลาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานขึ้น เสียงหยอกล้อกันตามประสาเด็กสาว ทำให้แม้เส้นทางจะลำบากแค่ไหน ก็กลายเป็นเรื่องสนุกสนาน

เวลาที่ต้องมาเจอเรื่องลำบากด้วยกันอย่างนี้ แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่ก็ทำให้รู้สึกบางอย่างได้ถึงความเชื่อใจ ไว้ใจ ผมรู้สึกสนิทกับน้องๆ อย่างกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน มิตรภาพใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว แรกทีเดียวผมคิดว่า จะนอนแค่คืนเดียว หรือเต็มที่ก็สองคืน เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยสำหรับมาพักที่ภูกระดึงนี้ เสื้อกันหนาวตัวเดียวอาจจะเอาไม่อยู่ก็ได้ แต่พอรู้ว่าน้องๆ จะพักกันสามคืน ก็เริ่มลังเลขึ้นมาซะแล้ว ไหนๆก็ขึ้นมาด้วยกัน ลำบากมาด้วยกันแล้ว ก็น่าจะลงพร้อมๆกัน

5 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงจุดสำคัญ ที่ใครๆ ต่างอุตส่าห์ เดินลุยกันมาก็เพื่อสิ่งนี้ใช่หรือเปล่า ป้ายครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง ต่างถูกระดมถ่ายภาพ ทั้งถ่ายเดี่ยว ถ่ายรวม สภาพอากาศยังไม่เป็นใจ ฝนยังตกสลับกับหมอกหนา มองไปไกลได้แค่ประมาณ 5 เมตรก็ไม่เห็นอะไรแล้ว เราเกาะกลุ่มกันเดินจนถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว น้องๆทั้ง 7 คนจองบ้านพักไว้แล้ว ส่วนผมก็นอนเต้นท์คนเดียวนั่นแหละ

ผมชำระค่าเต้นท์ไว้คืนเดียว เพราะใจจริงก็ยังไม่แน่ใจว่าจะลงวันไหนแน่ ทั้งที่อยากจะลงพร้อมกับน้องๆ ในวันศุกร์แล้วก็เถอะ มันก็ต้องเผื่อไว้ เพราะยังไงจะพักต่อก็ค่อยมาเพิ่มทีหลังได้อยู่แล้ว มาวันคนน้อยๆก็ดีอย่างนี้นี่เอง เต้นท์ก็ว่าง ว่างจนผมได้เต้นท์แรก ติดกับป้ายบอกทางนั่นแหละครับ ถ้าใครเคยไปคงนึกออก เลือกตรงนี้เพราะใกล้ห้องน้ำ ใกล้จุดบริการ มันคงสะดวกสำหรับคนที่ไม่มีแม้แต่ไฟฉายอย่างเรา

( มาสคอตของภูกระดึง )

ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าที่พัก น้องคนนึงในกลุ่มขอเบอร์ผมไว้ เผื่อว่าไปไหนจะได้เรียกกันได้ หลังจากแยกกัน ผมรีบอาบน้ำ เพราะรู้ว่าขืนไปอาบตอนดึกๆ มีหวังได้ชาไปทั้งตัว บ่ายๆน้ำยังเย็นได้ขนาดนี้ อาบเสร็จ ก็มีเวลาได้อยุ่คนเดียวอีกครั้ง

นั่งดูรูปตอนเดินขึ้นมา ยิ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่ทางไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าไร บางครั้งต้องไต่ขึ้นตามร่องหิน ถ้าไม่มีน้องๆขึ้นมาเป็นเพื่อนด้วย ไม่รู้จะถอดใจไปที่ชั้นไหน แถมยังได้มิตรภาพจากน้องๆที่น่ารักอีกตั้ง 7 คน ที่หนึ่งในนั้น ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมาซะแล้ว

ความจริงแล้วก็รู้นะ ว่าน้องคงไม่คิดอะไร แต่มาลุยตัวคนเดียวแบบนี้ ได้รู้สึกดีกับใครซักคน ก็คงทำให้ช่วงเวลาบนภูกระดึงเป็นช่วงเวลาที่พิเศษขึ้นไปอีก อาจเป็นเพราะผมคุยกับน้องคนนี้มากกว่าใครๆ หรือ อาจเป็นเพราะมือน้อยๆ ที่ผมช่วยไว้เมื่อเธอลื่นล้ม หรืออาจเป็นแค่หน้าใสๆ ตาสวยๆ นิสัยห้าวนิดๆ แค่นั้นเองล่ะมั้งที่ทำให้ผมเริ่มอมยิ้มอยู่คนเดียวได้แบบนี้

เสียงโทรศัพท์ดังขี้นถามไถ่ ว่าทำอะไรกันอยู่ ผมอยู่ที่ร้านอาหารกำลังทานข้าว จริงๆก็คิดอยู่ว่าจะรอทานพร้อมน้องๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าน้องๆ อย่างจะอยู่กันเป็นส่วนตัวแค่เฉพาะเพื่อนๆหรือเปล่า แต่พอจังหวะไม่ตรงกันแบบนี้ คืนนี้คงต้องกินคนเดียวไป เสียดายจริง ทำไมไม่โทรมาเร็วกว่านี้นะ

ก่อนจะนอน เสียงโทรศัพท์จากคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ถามว่า พรุ่งนี้จะไปผาหล่มสักดูพระอาทิตย์ตกกันมั๊ย ผมก็ตอบว่าไป แล้วจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นมั๊ย ผมก็ว่าไป และน้องอยากให้ไปที่ไหนก็ไปทั้งนั้นแหละ พูดไปแล้วก็นึกไปได้ว่า ตอนนี้พี่ก็เหมือนลูกไก่ในกำมือน้องนั่นแหละ และลงท้ายไม่ลืม ที่จะบอกสิ่งที่อยากบอกน้องนะ ฝันดีนะครับ

ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 4 .45 ล้างหน้าแปรงฟันเตรียมรวมพลที่จุดบริการนักท่องเที่ยวตอนตี 5 ผมมาก่อนเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่เห็นกลุ่มน้องๆ จึงโทรไปหา เกรงว่าจะนอนกันยังไม่ตื่น ก็ไม่ยอมรับ สงสัยจะไม่ตื่นจริงๆ แต่แล้ว สาวๆ ทั้ง 7 ก็มาโผล่ที่หน้าประตูแล้ว

เช้าๆ ก็ดูสดใสกันแล้ว นี่แหละน๊า เป็นเป็นผู้หญิง จะลุยป่าฝ่าดง จะเช้ายังไง ความน่ารักสดใสก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ผมมองไปรอบๆ ทุกคนทั้งน้องๆ และคนอื่นๆ ต่างแต่งตัวกันเต็มที่ สไตล์กวนมึนโฮกันทั้งนั้น ไม่บอกก็ไม่รู้นึกว่าอยู่เกาหลี มีเพียงผม ที่ก็เหมือนพระเอกในเรื่องแหละครับ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ยังดีกว่าพระเอกหน่อยตรงที่มีเสื้อกันหนาวอยู่ 1 ตัว

( หมอกหนาทั้งวัน พระอาทิตย์หายไปไหน )

เป็นชายก็อย่าแสดงความอ่อนแอให้เห็น จะหนาวยังไงก็อย่าไปออกอาการให้มาก เราเดินกันไปตามทางมืดๆ ถึงผานกแอ่น เกือบใกล้เวลาพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็น มีเพียงหมอกทึบๆ เต็มท้องฟ้า วันนี้ท่าทางจะแห้วซะแล้ว

แต่สำหรับผม ไม่ได้สำคัญอะไรนัก พระอาทิตย์น่ะเห็นบ่อยแล้ว แต่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างผมตอนนี้สิ ที่เพิ่งเคยเจอกันแค่เพียงเมื่อวาน ก็อยากจะมองไปให้นานกว่านี้ แต่แม้จะยืนอยู่ข้างกัน ผมกลับไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตา มันเป็นอะไรของมัน เมื่อวานยังคุยเล่นกัน แต่วันนี้พอเริ่มคิดอะไรกับเค้ากลับไม่กล้า

ผมยังเก็บอาการได้ดี แม้ใจจะชอบเค้าเข้าแล้ว แต่คงไม่เหมาะที่จะทำให้บรรยากาศดีๆมันเปลี่ยนไป ผมยังทำตัวให้เป็นปกติ กลับมาทานข้าวเช้ากัน และนัดว่า 9 โมงเช้าจะเริ่มออกเดินทางไปผาหล่มสัก ซึ่งห่างออกไป 9 กิโลจากจุดที่พัก เดินไป 9 กิโล กลับอีก 9 กิโล วันนี้คงจะหนักหนาอยู่ โดยเฉพาะตอนกลับที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว ผมยังนึกไม่ออกว่า เดินทางกลางคืนอย่างนั้น 9 กิโลจะเป็นอย่างไร ที่รู้คือ ถ้ามีคนร่วมเดินทางไปเยอะๆก็จะดีกว่า

เช้านี้ เราเริ่มมีสมาชิกใหม่เข้ามา เป็นน้องผู้ชายจากมหาลัยเดียวกัน มาคนเดียวเหมือนผม เข้ามาทำความรู้จักกับกลุ่มพวกเรา และว่า วันนี้จะเดินทางไปผาหล่มสักด้วย ผมแลกเบอร์ติดต่อกับน้องผู้ชายไว้ นัดกันว่า 9 โมงเช้าจะออกเดินทาง คงจะไปเรือ่ยๆ เพราะสาวๆ ชอบที่จะแวะถ่ายรูปตามทางอยู่แล้ว

ได้เวลานัด ทุกคนพร้อมแล้ว แต่น้องผู้ชายยังต้องรออีกกลุ่มหนึ่งที่จะเดินไปด้วย พวกเรา 8 คนจึงเดินทางไปก่อนเพราะคิดว่าคงเดินช้ากว่าอยู่แล้ว จากจุดที่พัก เดินไปตามทางเส้นใน ผ่านสระอโนดาด สระน้ำขนาดย่อมๆ ที่ใสจนเห็นเงาสะท้อน จุดที่น้องสาวแสนดีหยุดถ่ายรูปกันนานพอควร จากสระอโนดาด ก็แวะน้ำตก ( ขออภัยจำชื่อไม่ได้ครับ ) ที่น้ำตอนนี้น้อยมาก จนเดินได้ทั่ว ก็แวะถ่ายรูปกันอีกครั้ง

หลังจากแวะมาเรื่อย เราก็ถึงผาหล่มสักจนได้ หมอกหนามากๆ นานๆ จะได้เห็นแสงอาทิตย์รอดมาสักครั้ง มาถึงราวๆ บ่ายสอง อีกนานกว่าพระอาทิตย์จะตก ที่ร้านค้ามีเสื้อไว้คอยบริการให้นักท่องเที่ยวเอาไปปูนั่งๆนอนๆ บริเวณใกล้ๆริมผา

สักพักน้องผุ้ชายก็ตามมาถึง ตรงเข้ามาทักทายกลุ่มพวกเรา ทั้งหมดพากันไปถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ผมเองตอนนี้กล้องที่เตรียมไปก็แบตหมดแล้ว แถมยังหนาวสั่นอยู่คนเดียว เพราะเสื้อกันหนาวตัวเดียวที่มีก็ดันทิ้งไว้ที่เต้นท์ รองเท้าแตะที่ใส่อยู่ก็เริ่มประท้วงด้วยการกัดเท้าผม เสื้อยืดกางเกงขาสั้นก็ช่วยให้มันหนาวเข้าไปอีก ผมทำอะไรไม่ได้มากแล้ว ได้แต่นั่งดูน้องๆ ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน

ณ วินาทีนั้น ทำไมมันดูเหมือนผมเริ่มอ่อนแอลง ทำไมมันเหมือนผมแปลกแยกออกมาคนเดียวอย่างนี้ ทำไมเวลานี้มันกลับกลายเป็นเหมือนผม ขึ้นภูกระดึงมาคนเดียวอีกครั้ง หรือเพราะมีใครอีกคนที่เข้ามาแทนที่ผมแล้ว รวมทั้งน้องคนนั้นที่เธอก็ยังเป็นเธอ ไม่ได้สนใจอะไรเราแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ย

คิดไปเรื่อยเปื่อย อากาศหนาวก็ฉี่บ่อย ผมลุกไปห้องน้ำบ่อยจน น้องคนหนึ่งเริ่มเห็นความผิดปรกติ คิดว่าผมเป็นอะไรไปหรือเปล่า จริงตอนแรกก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ แต่พอเหมือนโดนทัก ก็เลยรู้สึก ก็เลยเถิดไปกันใหญ่

บ่ายแก่ๆ ยังหนาวได้ขนาดนี้ นี่ถ้ารอพระอาทิตย์ตก แล้วค่อยเดินกลับ ผมซึ่งไม่พร้อมอยู่คนเดียวอย่างนี้ คงมีปัญหา และอาจจะไปสร้างปัญหาให้คนอื่นอีก รวมกลับว่า ตัวผมคงหมดความสำคัญสำหรับกลุ่มน้องๆไปแล้ว เลยคิดจะเดินกลับไปก่อนกับน้องๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้คุยกันไว้เมื่อเช้า และอาจจะเลยไปว่า จะลงภูกระดึงในวันพรุ่งนี้เลย เพราะรู้สึกเหมือนมันไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเหลือ และอยู่ๆ ก็เริ่มเบื่อภูกระดึงขึ้นมาซะอย่างนั้น

คิดได้แล้วจึงเดินเข้าไปบอกน้องๆ และผลออกมาก็ดูเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่แล้ว จากที่ห่างเหิน ก็กลายเป็นไม่สนใจ เหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ซะอย่างนั้น บรรยากาศหนาวทั้งกาย หนาวทั้งใจอย่างนั้น กลับก็กลับไม่ได้ ต้องทนยืนเป็นต้นไม้ เป็นก้อนหิน ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้เจอสิ่งดีๆ มาตลอด คงไม่รู้สึกเคว้งคว้างได้ขนาดนี้

ผมรอน้องอีกกลุ่มจนใกล้พระอาทิตย์ตกแล้ว จึงเปลี่ยนใจว่าไหนๆก็มาแล้ว ไม่ว่าใครจะสนใจไม่สนใจเรา การได้มาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ผมตัดสินใจ เดินกลับพร้อมกับกลุ่มเดิม ( ที่รู้สึกเหมือนไม่มีใครสนใจเราแล้วอย่างนั้น ) คงไม่เป็นไรมั้งแค่เราเดินตามไปด้วย

พระอาทิตย์โผล่ผ่านหมอกหนามาให้เราเห็นในนาทีสุดท้ายจริงๆ ถือว่าโชคดีมากๆ ที่ได้เห็นในวันฟ้าปิดแบบนี้ โชคดีที่อยู่จนได้เห็น แต่คงเป็นโชคร้าย ที่อะไรๆมันเปลี่ยนแปลงไปได้เร็วขนาดนี้ ผมไม่โทษใคร ไม่โทษอะไรทั้งนั้น บางทีมันก็เป็นเรื่องของโชคชะตา ที่ทำให้คนเราเจอกัน ที่ทำให้แยกจากกัน แค่ผมได้พบกับมิตรภาพดีๆ ตั้งแต่ตอนขึ้นมาจนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ มันก็ดีสำหรับคนตัวคนเดียวแบบนี้แค่ไหนแล้ว

( แสงสุดท้าย ตอนฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี พอดีกับคนกำลังจะเปลี่ยนใจ )

ฟ้ามืดแล้ว ผมเดินตามกลุ่มอยู่หลังสุดเหมือนมาคนเดียว บรรยากาศช่างมืดมิดเหลือเกิน น้องคนหนึ่งคนที่ได้พูดกันน้อยที่สุดในกลุ่มคงทนเห็นสภาพของผมไม่ไหว เธอถอดเอาผ้าพันคอของเธอยื่นให้กับผม ยามที่รู้สึกเหมือนไม่เหลือใครแล้ว ได้รับอะไรแบบนี้มันตื้นตันบอกไม่ถูก ผมนึกคำพูดประโยคหนึ่งที่บอกกับน้องคนนั้นว่า " ผ้าพันคอผืนแค่นี้คงไม่ทำให้พี่อุ่นหรอกนะ ... แต่ที่ทำให้อุ่นน่ะ คือน้ำใจต่างหาก " ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะดังพอให้คนนั้นได้ยินหรือไม่

เดินๆไป เริ่มได้ออกแรง กับผ้าพันคอผืนนั้น ทำให้สภาพผมเริ่มกลับมาดีขึ้น ไม่หนาวสั่นเหมือนตอนอยู่ที่ผาหล่มสักแล้ว แม้ทางจะมืด แต่ก็มีแสงไฟจากน้องๆ ที่ยังเอื้อเฟื้อส่องทางให้ ผมกลับมาพูดคุยกับน้องๆ เหมือนเป็นปกติ บรรยากาศค่อยๆดีขึ้น เพราะก่อนจะต้องลากันไปพรุ่งนี้ ผมไม่อยากให้ทั้งตัวเองและน้องๆ ที่ร่วมทาง เจอความลำบากกันมา ต้องมีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีกลับไป

จริงๆเรื่องทั้งหมดมันอาจจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ น้องๆก็คงเห็นว่าผมเป็นพี่ที่ดีคนหนึ่ง มันคงเป็นเพราะความรู้สึกเกินเลยของผมเองที่พัดผ่านเข้ามา แล้วทำให้ผมคิดมากไปเอง ทำให้ผมทำอะไรที่แปลกแยกไปเอง ทำให้บรรยากาศมันแย่ลงซะอย่างนั้น ไม่เป็นพี่ใหญ่ที่ดีเอาซะเลย

แต่ถึงแม้จะคิดได้แล้ว บรรยากาศเริ่มเป็นปกติแล้ว ก็คงไม่อาจเปลี่ยนใจผมได้แล้ว ผมตัดสินใจแล้วว่าจะลงภูกระดึงกับน้องๆอีกกลุ่มในวันพรุ่งนี้ เราเดินกันจนถึงที่พักเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ราว 2 ทุ่มครึ่งก็ถึง ปลาสเตอร์ยากันรองเท้ากัด ยาพาราที่น้องๆให้กินกันเอาไว้ ผ้าพันคอบางๆแต่อุ่นมากผืนนั้น และอีกหลายๆสิ่งที่น้องๆมีน้ำใจกับผม ผมคงแย่มากถ้าจะน้อยใจและเก็บเอาความรู้สึกไม่ดีลงภูไป

เราร่ำลากันครั้งสุดท้าย ก่อนที่พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้เจอกันอีก ผมไม่ได้มองดูว่าน้องคนที่ผมเผลอใจไปนั้น มองผมอย่างไรในตอนสุดท้าย แต่คนอื่นๆก็ดูเหมือนจะเป็นปกติกันแล้ว ผมเดินกลับเข้าเต้นท์ไปคนเดียว รีบหลบเข้าไปนอนในถุงนอนอุ่นๆ ก่อนที่จะไม่สบายไป จะลำบากกว่านี้

( แสงแรก วันสุดท้าย มีเหตุจำเป็นในใจที่ต้องไปก่อน )

เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีที่หน้าเต้นท์ก็เริ่มเห็นแสงตะวันแรกจากขอบฟ้า สภาพร่างกายเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่ได้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างเมื่อคืน แม้ทุกอย่างจะเป็นปกติแล้ว แต่ผมยังยืนยันที่จะลงภูวันนี้ ไม่ใช่เพราะเจ็บช้ำน้ำใจจากใคร ไม่ใช่เพราะน้อยใจอกหัก แต่เพราะผมอิ่มแล้วกับภูกระดึงสองวันสองคืนเต็มๆ คงหาประสบการณ์อะไรที่ครบรสอย่างนี้อีกไม่ได้แล้ว เมื่อเราอิ่มแล้วก็ควรจะพอ เก็บรสชาติดีๆแบบนี้กลับบ้านดีกว่า

อยากไปไหนก็ไป " เลย " หนนี้ เริ่มด้วยความเปลี่ยวเหงาและว่างเปล่า จบตรงที่ แม้จะยังอยู่คนเดียว แต่กลับไม่เหงาและเต็มอิ่ม การเดินทางครั้งนี้ ไปแล้ว รัก " เลย " จริงๆ

( ปล. เรื่องมีเค้าโครงความจริงอยู่บ้าง แต่อารมณ์ได้รับการแต่งเติม และตัวละครเป็นตัวละครสมมติเท่านั้นนะจ๊ะ น้องๆ ถ้ามาอ่านอย่าคิดมาก อย่าโกรธกันนะคะคนดี )

ภูกระดึง In Love ... รักนิด เจ็บหน่อย อร่อยใจ #1

( บ้านเก่าๆแบบนี้ ที่ใครๆยอมทิ้งโรงแรมหรู มาพักที่เชียงคาน )

เคยมีใครพูดกับคุณแบบนี้บ้างมั้ย ... อยากไปไหนก็ไปเลย ... ยิ่งถ้าประโยคนี้หลุดจากปากของคุณที่คุณรัก มันแปลว่า ณ เวลานั้น คนที่เราอยากให้อยู่ใกล้ที่สุด กลับอยากให้เราไปให้ไกลที่สุด ไปไหนก็ไป อย่าได้อยู่ตรงนี้ให้เจ็บปวดทั้งสองฝ่าย

ผมได้ยินประโยคนี้จากคนที่ผมรักที่สุด เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน แต่ผมเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ เพราะถ้าวันนั้นตัดสินใจ ไป อย่างคำพูด เหตุการณ์มันคงยิ่งเลวร้าย เวลาจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเย็นลง และกลับมีสติขึ้น แต่ประโยคนี้มันก็ยังติดอยู่ที่หู ฝังอยู่ที่ใจอยู่ดี

( ที่หน้าห้องนอนของผม )

อยากไปไหนก็ไปเลย ... มาวันนี้ที่เหตุการณ์ต่างๆมันดีขึ้นแล้ว แต่ผมยังจะทำอย่างในคำพูดทุกประการ ว่าแล้วคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมจัดการเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า โบกแท็กซี่ไปหมอชิต และที่ชั้น 3 ผมก็ได้ตั๋วไป "เลย" สมใจ ลงสุดปลายทางที่ เชียงคาน

( ริมแม่น้ำโขงยามเช้า อากาศดีมากๆ )

เพราะได้ยินว่าเชียงคาน นั้นสงบ เยือกเย็น ยามนี้เวลานี้คงเรียกได้ว่า หนาว จะขอไปนอนพักกายพักใจเติมพลังให้ตัวเอง ผมมีเวลา 5 วัน ถ้ามันนานไปนัก ผมเตรียมว่าจะหารถไปน่าน อีกจังหวัดที่คนรักความสงบชื่นชอบนัก

( ท่าถนัด เพราะมีคนเดียว และจักรยานคันเดียว ทำอย่างอื่นไม่ได้ครับ )

รถทัวร์บริษัทภูกระดึงทัวร์ ทยอยส่งคนลงตามทาง จนมาถึงเชียงคานที่สุดปลายสาย เหลือเพียงผม คนขับ และกระเป๋ารถ น่าจะเป็นสัญญาณบอกว่า มาเยือนเชียงคานในวันธรรมดาแบบนี้คงได้เจอความเงียบสงบสมใจ แต่ที่เชียงคาน ณ เวลา ตี่สี่ครึ่งอย่างนี้ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนดี

( เงียบได้ใจจริงๆ สำหรับคนรักความเงียบสงบจริงๆ )

กระเป๋ารถแนะนำให้ไปทานอะไรร้อนๆ แก้หนาวในตลาดก่อน ได้โอวัลตินร้อนๆ กับปาท่องโก๋ กับเสื้อกันหนาวอีกตัว ก็ทำให้อุ่น และสดชื่นขึ้นบ้าง ผมเริ่มออกเดินไปรอบๆ ทั้งๆที่ยังมืดอยู่นั้น ไม่ได้มีจุดหมายอะไร แต่พอเดินไปไม่ไกลนัก ก็พบกับร้านหนึ่งซึ่งกำลังจะเปิด สอบถามได้ว่า ข้างบนมีบริการห้องพักราคาไม่แพง เจ้าของพาขึ้นไปชม แล้วผมก็พบว่า ที่เคยได้ยินว่าบ้านพักที่นี้เก่าแก่นับร้อยปี เห็นกับตาแล้ว เก่าจริงๆครับ บางจุดถึงกับเอาเสื่อมาคลุมไว้ พี่เจ้าของบอกว่า ให้เดินเลี่ยงๆ เพราะตรงนั้นไม้ผุมากแล้ว

( ปั่นจักรยานวนหาของกินหลายรอบแล้ว สุดท้ายลงเอยที่ไข่กระทะ เพราะแม่ค้าใจดี )

ตัวคนเดียวอย่างนี้คงไม่ต้องเรื่องมากอะไรนัก พี่เจ้าของใจดี ให้ผมนอนพักก่อนได้เลย รอฟ้าสางแล้วค่อยออกไปเที่ยวชมเมืองเชียงคาน ผมตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 8 โมงเช้า ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก็ได้เวลาปั่นจักรยานเที่ยวชมเมือง แม้จะไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรมามาก แต่ก็พอจะทราบว่า ถนนเลียบแม่น้ำโขงที่นี่ ก็น่าจะเป็นเส้นทางหลัก ได้ชมบ้านเรือนสองข้างทาง ส่วนเส้นที่ติดแม่น้ำซึ่งเป็นทางเล็กๆ สำหรับเดินและจักรยาน ก็จะได้เห็นบรรยากาศริมน้ำ อากาศบริสุทธิ์ มองไปอีกฝั่งก็จะเป็นเมืองน้องลาว ที่ยังดูเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้

( แก่งคุดคู้ น้ำ หิน ดิน ทราย และภูเขา กับอากาศดีๆ เท่านี้แหละครับ )

สำหรับจุดหมายที่ไกลออกไปหน่อย ที่ยังพอปั่นจักรยานไปไหว ก็คือแก่งคุดคู้ ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ปั่นจักรยานชมวิวแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ไปสัก ครึ่งชั่วโมงก็ถึง แม้จุดหมายคือ แก่งคุดคู้ ที่เป็นเนินทรายกลางแม้น้ำ จะไม่ได้อลังการเท่าไรนัก แต่แค่บรรยากาศที่รายล้อมเราระหว่างทาง มันก็มีเสน่ห์เพียงพอแล้ว

( จะเดินทางมากี่ร้อยกิโล ก็ยังเป็นคันเดียว คนเดียวอยู่อย่างนี้ )

แวะทานอาหารที่นี้ พร้อมกับชิม มะพร้าวแก้ว ที่เป็นสินค้าโอทอปของที่นี่ นั่งกินลมอยู่ที่จุดชมวิวอยู่นาน มองนักท่องเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าผ่านไปจนลืมเวลา เข้าเวลาบ่ายแล้ว แดดเริ่มแรง ไม่เย็นเหมือนช่วงเช้าแล้ว เห็นทีต้องกลับที่พักไปนอนเอาแรง ก่อนจะออกเดินเที่ยวชมเมืองอีกครั้งตอนเย็นๆ

( แสงตะวันโพล้เพล้ แสงนีออนเข้ามาแทนที่ )

ตื่นขึ้นมาอีกครั้งประมาณ 5 โมงเย็น ผมทิ้งจักรยานไว้และออกเดินรอบๆ เพื่อเก็บภาพเชียงคานยามเย็นแบบนี้ ในใจคิดว่า อีกเดี๋ยวพอมืด ถนนเส้นนี้คงคึกคักอย่างที่เคยได้ยินได้ฟังมา แต่เวลาผ่านไป หกโมงเย็นก็แล้ว ทุ่มนึงก็แล้ว ร้านข้างทางก็ยังเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน นักท่องเที่ยวก็ไม่มากนัก มองๆดูแล้วก็เชื่อว่า น่าจะรู้สึกอย่างเดียวกับผม ที่ผิดคาดหรืออาจถึงผิดหวังที่ ร้านปิดไปเยอะขนาดนี้

จริงๆ ได้รับการบอกเล่าจากแม่ค้าที่นี่เมื่อเช้านี้แล้ว ว่าวันธรรมดาร้านต่างๆตามถนนคนเดินนี้จะมีปิดไปบ้าง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะดูเงียบเหงาได้ขนาดนี้ อาจเป็นได้ว่านี่เพิ่งจะผ่านเทศการปีใหม่ไปไม่นาน ร้านต่างๆ อาจจะปิดไปพักผ่อนบ้างเหมือนกันหลังจากรับนักท่องเที่ยวไปมากแล้วช่วงปีใหม่

( อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟจากบ้านเรือน ทำให้มีเสน่ห์ขึ้นอีก )

เดินไปเดินมาหลายรอบ คิดว่าดึกกว่านี้จะยิ่งคึกคัก แต่สองทุ่มก็แล้ว ยังคงเหมือนเดิม ยิ่งเห็นคนที่มาเป็นคู่ มาเป็นกลุ่มแล้ว ความเหงาก็เริ่มโชยพัดมากับลมหนาว คงได้เวลาที่เราต้องกลับเข้าที่พักอีกแล้ว ก่อนจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

( แสงสวยไม่ต้องใช้ตัวช่วย )

กลับเข้าที่พักมา ก็มีแต่ห้องว่างๆ โทรทัศน์ไม่มี วิทยุไม่มี หูฟังไม่ได้เอามา เหลือแต่หมอน มุ้ง และที่นอน กิจกรรมเดียวที่ทำได้คือนอน นอน แล้วก็นอน มาเชียงคานคราวนี้ ได้นอนพักผ่อนเต็มที่จริงๆ

แต่ก่อนจะหลับไหลไปในคืนนี้ ผมเริ่มคิดแล้วว่า จะอยู่อย่างนี้ไปอีกสี่วันหรือ เวลาพักที่หาได้ยากเย็น จะใช้เพื่อนอน นอน แล้วก็นอนอย่างนี้หรือ แผนสองที่เคยคิดไว้ คงต้องเอามาใช้แล้ววันพรุ่งนี้ ตามหลักการส่วนตัวที่ว่า ไม่เวิร์ค ก็มูฟ ดีกว่า และแล้วก็ตั้งใจไว้ว่า พรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าตัวเมือง และอาจจะหารถไปน่าน หรือจังหวัดอื่นๆ ที่พอไปได้ ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนนัก

( คืนวันจันทร์ เงียบจริงๆครับ เงียบจนจับใจ คงถึงเวลาต้องไปแล้ว )

สำหรับเชียงคาน ... คนชอบ คงไม่รู้สึกเบื่อ คนที่เบื่อ ก็อาจแปลได้ว่าไม่ชอบ ตอนนี้คงไม่ใช่ไม่ชอบ เพียงแต่ ชีพจรมันยังไม่หยุดนิ่งพอ มันเริ่มลงเท้าอีกครั้งแล้ว พรุ่งนี้เดินทางต่อครับ

อ่านต่อตอนสองกันนะครับ

http://www.oknation.net/blog/lotslikelove/2011/01/18/entry-3

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กรุงเทพ 3 ธันวา... บนเส้นทางสู่ราชดำเนิน... ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

วันนี้ตั้งใจจะไปเดินชมไฟบนถนนราชดำเนิน แต่เวลายังเหลืออีกมากกว่าพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เวลาประมาณบ่าย 2 โมง ผมเริ่มออกเดินจากย่านพาหุรัด พบกับเจ้าแม่กวนอินองค์ใหญ่ ประดิษฐานไว้ให้ผู้มีจิตศรัทธาได้สักการะ

ถัดจากพาหุรัด ผมเดินตัดทะลุซอยเพื่อตรงไปยังสำเพ็ง

สำเพ็งยังคงความคึกคักสม่ำเสมอ ยิ่งใกล้ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองอย่างนี้

โปรดอย่าเพิ่งช็อปที่ตลาดไหนๆในโลก ถ้ายังไม่ได้มาที่นี่ บางทีท่านอาจจะหิ้วสินค้าที่แพงกว่ากลับมา

ถึงอาคารอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ผมเลี้ยวออกจากสำเพ็งเข้าสู่ถนนเยาวราช

คลองถม สำเพ็ง เยาวราช ที่ที่วุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แต่ก็ชอบมากันจัง ผมคิดเล่นๆเอาว่า คลองถมเหมือนโรงเรียนชายล้วน สำเพ็งเหมือนโรงเรียนหญิงล้วน เยาวราชก็คงโรงเรียนผู้อาวุโส

เติมพลังก่อนด้วยสแน็คแบบไชน่าทาวน์

เดินตัดมาถนนเจริญกรุง โผล่ที่หน้าวัดมังกรกมลาวาส

เดินยาวมาแถวถนนเสือป่า แหล่งขายอะไหล่ ซองมือถือ

วกกลับไปถนนเยาวราชอีกครั้ง เพื่อขึ้นรถเมล์สาย 1 ไปลงแถวๆท่าเตียน

จากท่าเตียน ท่าราชวรดิษฐ์ เรื่อยไปถึงท่าช้าง มีของขายเต็มทางเท้า ส่วนใหญ่จะเป็นมือสอง เหมาะกับผู้สนใจเฉพาะกลุ่ม

มีจัดมหกรรมดูดวงอยู่พอดี หมอดูแม่นๆ รอคอยวาสนาเหมือนกัน

พลังเริ่มหมด ไก่ย่าง หมูปิ้ง ไส้กรอกอีสานซักหน่อยคงดี

หมูปิ้งไม่สะดวกนัก ขอเป็นโจ๊กร้อนๆ ชามบิ๊กเบิ้ม ดูน่ากินเชียวครับ โจ๊กหมูสับ ตับ ไส้ ใส่ใข่เป็นยางมะตูม ปาท่องโก๋กรอบ กับหมี่กรอบมาพร้อม อิ่มสบายท้อง

แม่ค้าโจ๊กอารมณ์ดี สงสัยจะขายดีแบบนี้ทุกวัน

อิ่มแล้วก็เดินต่อ ตรงมายังท่าพระจันทร์ แหล่งของเซียนเค้า เกรียนไม่เกี่ยว

ชื่อก็บอกแล้วว่าตรอกสนามพระ ให้เซียนได้ประชันฝีมือ

เดินตัดจากสนามหลวงผ่านคลองหลอด คึกคักมาก เป็นแหล่งของคนไร้บ้าน หรือมีบ้านแต่ไม่อยากอยู่ก็สุดแล้วแต่ จะเรียกว่า โฮมเลสวิลเลจ ก็พอได้ แถวนี้ยิ่งดึกยิ่งคึก

ถึงราชดำเนินแล้ว แต่ยังไม่มืดนัก ไฟยังไม่เปิด ขอแวะข้าวสารก่อน

ข้าวสารย่ำค่ำ คนแถวนี้เริ่มตื่นทำมาหากิน ชีวิตกลับจากคนทั่วไป

ไปชมข้าวสารเวียดนามมาแล้ว ยืนยันว่ายังไงก็สู้ข้าวสารไทยไม่ได้

ข้าวสาร ออริจินัล ฝรั่งก๊งกันตั้งแต่หัววัน คืนนี้ยังอีกยาวนาน

หัวมุมถนนอีกฝั่ง กลุ่มนักดนตรีคนตาบอดกำลังตั้งวง

ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว คนยิ่งมาก ฝรั่งร้อยละ 90 ที่เหลือคือพ่อค้าแม่ค้าคนไทย

ตะวันลาลับแล้ว มีแสงไฟประดับเพื่อเทิดพระเกียรติพ่อหลวง เพื่อความรื่นเริงของปวงชนชาวไทย

อนุเสาวรีย์ ประชาธิปไตย ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ยังคงสวยเหมือนเดิม

ถนนราชดำเนินนอก มุ่งสู่งานที่ลานพระบรมรูปทรงม้า

หน้าลานมหาเจษฏาบดินทร์ กับวงดนตรีแจ๊ซ อากาศกำลังดี เคล้าเพลงพระราชนิพนธ์

ประชาชนแห่แหนเข้าร่วมงาน ชมบรรยากาศโดยรอบกันครับ

เต็มไปด้วยหัวใจที่เรียงร้อยถ้อยคำถวายพระพร

สัมผัสได้ถึงความสุขของคนไทยรอบข้าง

กล้องเล็ก กล้องใหญ่ ไม่สำคัญ

ประชาชนยืนถ่ายเบื้องล่างพระรูปไม่ขาดสาย

ที่ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ที่อยู่ติดกัน เปิดให้ชมฟรีครับ

หลักธรรมของกษัตริยผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจคนไทยทุกคน

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ภาพสุดท้ายก่อนลากลับประมาณ 2 ทุ่ม 6 ชั่วโมงเต็มสำหรับวันนี้ เหนื่อยกายแต่ชุ่มฉ่ำหัวใจจริงๆครับ

ภาพทุกภาพไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ ช่วยกันเผยแพร่ในทางที่ดีกันนะครับ