วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Dont tell my mother that I reach Vietnam #2 ... ไซ่ง่อน แล้วจะรักเมืองไทยขึ้นอีกเยอะ

หลังจากจัดการแผนการเดินทางวันต่อๆไป จองตั๋วจองโรงแรมเรียบร้อย ไร้กังวลว่าแล้วว่าจะเที่ยวเพลิน เงินหมดจนกลับบ้านไม่ถูก ก็ได้เวลาสำรวจไซ่ง่อนเต็มๆ 1 วัน เพราะกว่าจะขึ้นรถไปดาลัต ก็ 5 ทุ่ม ผมได้แผนที่แจกฟรีจากบริษัทเวียดซี ไม่ละเอียดนัก แต่ก็เพียงพอแล้ว เพราะเดินๆไปก็จะค่อยๆคุ้นทางขึ้นเรื่อยๆ

( ฝนตกตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง วันนี้ท่าทางจะไม่ง่ายซะแล้ว )

จุดหมายเท่าที่ค้นดูจากอินเตอร์เนต ก็มี ตลาดเบนถาน พิพิธภัณฑ์สงคราม โบสถ์นอร์ทเทอดาม อนุเสาวรีย์ลุงโฮ เดินไปครบตามนี้ ใช้เวลาในตลาด และพิพิธภัณฑ์มากหน่อย ก็คงจะหมดวันพอดี ตอนค่ำๆ มาเดินแถวฟามงูเลา ใกล้ๆ กับบริษัทเวียตซี และที่ขึ้นรถ ก็พอดีกับเวลา

( คนที่นี่รับมือกับฝนเป็นเรื่องปกติ เสื้อกันฝนมีใช้กันทุกคัน ถ้ารู้ผมจะเอามาเหมือนกัน )

เดินมาไม่ทันไรก็เจอกับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นแถบ ที่พยายามคะยั้นคะยอให้เราใช้บริการ ลักษณะท่าทางของเราก็พอดูรู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยว ก็จะยิ่งโดนตื้อหนักเข้าไปอีกว่าจะพาเที่ยวรอบเมือง แต่ผมทำการบ้านมาแล้ว ก็พอรู้ว่าแต่ละที่มันไม่ได้ห่างกันเท่าไร เดินไปได้สบายอยู่แล้ว แถมเวลาก็มีเหลือเฟือ เลยขอปฎิเสธ

( พักหลบฝนที่ร้านกาแฟริมถนน บนเก้าอี้เตี้ยๆ ที่มีอยู่ทั่วเมือง )

แต่กว่าจะหลุดมอเตอร์ไซค์จอมตื้อมาได้ ก็ต้องปฎิเสธไปมากว่าสิบครั้ง เหตุการณ์อย่างนี้อยู่จนครบ 5 วันจะชิน เพราะไม่ว่าจะไปไหนก็จะโดนตื้อแบบนี้ตลอด เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมว่า ถ้ามอเตอร์ไซค์รับจ้างชาวเวียดนามเหล่านี้คิดได้ คงจะไม่ตามตื้อจนนักท่องเที่ยวรำคาญแบบนี้ สิ่งที่ควรจะทำก็คือไปฝึกภาษาอังกฤษให้ดี เวลาถามไถ่ชาวต่างชาติจะได้คุยกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ตื้อแล้วแถมยังเป็นภาษาเวียดนามอีก จะเข้าใจมั้ยครับเนี่ย

( ผ่านโรงหนังของที่นี่ ดูยังไงโรงหนังบ้านเราก็ไฮโซกว่าเยอะ )

หลุดจากดงมอเตอร์ไซค์มาได้ไม่เท่าไร ก็เจออุปสรรคใหญ่ถัดมา ฝนเม็ดไม่ใหญ่นัก ตกพอให้วัดใจคนเดินเที่ยว ไอ้เราก็แต่งหล่อมาอย่างดีไม่อยากจะเละตั้งแต่วันแรก หาที่หลบดีกว่า แต่ไหนบ้านนี้เมืองนี้มันหาที่หลบฝนยากจริง ยากเพราะทางเท้ากลายเป็นที่จอดมอเตอร์ไซค์ ยากที่ร้านค้าแต่ละร้านมักจะวางของยื่นออกไปตามทางเท้า ยากเพราะมักจะมีร้านกาแฟเล็กๆ ตั้งโต๊ะตามทางเท้าเป็นระยะๆ และยากเพราะตึกรามร้านค้าที่นี่ไม่ค่อยมีกันสาดยื่นออกมาเหมือนบ้านเรา ที่พอจะให้คนหลบฝนได้ ผมไม่อยากเหมารวมว่านี่เป็นการแสดงให้เห็นนิสัยของคนเมืองนี้หรือเปล่า แต่เพราะเจอแบบนี้เลยเริ่มรักเมืองไทยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

( ที่พิพิธภัณฑ์สงคราม )

ฝนเยอะจนปลายปี และตกทั้งวี่ทั้งวันแบบนี้ ก็คงเป็นธรรมชาติของที่นี่ ในเมื่อมาแล้วจะมากลัวฝนแล้วไม่ได้ไปจุดหมายที่ตั้งใจไว้ก็เสียเที่ยวเปล่า เป็นไงเป็นกันอย่างมากก็แค่เปียก ไข้รับประทาน คงพอรับมือไหว ผมรอให้ฝนเบาลงหน่อยก็ออกเดินไปที่แรกคือ พิพิธภัณฑ์สงคราม

ที่พิพิธภัณฑ์นี้ ด้านหน้าจะเป็นที่ตั้งของเครื่องบินรบของอเมริกาสมัยสงคราม สภาพยังดูเหมือนจะใช้งานได้ ด้านในจะเป็นที่แสดงภาพ และเรื่องราว ที่ทางเวียดนามบอกให้ชาวโลกรู้ถึงความโหดร้ายของสงครามที่อเมริกายัดเยียดให้ คนชอบแนวนี้คงใช้เวลาที่นี่ได้มาก คนเวียดนามคงชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดแล้ว ส่วนคนอเมริกันที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือเป็นลูกหลายของทหารที่เสียชีวิตก็คงรู้สึกไม่ต่างจากคนเวียดนามนัก คนที่สะใจคงมีอยู่ไม่กี่คนที่สั่งการอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก

ภาพถ่ายที่โชว์อยุ่ด้านใน ดูแล้วอย่างกับโปสเตอร์หนังฮอลลีวูด ต่างกันเพียงนี่เป็นภาพจริงจากช่างภาพ 134 คน จาก 11 ชาติที่เสียชีวิตระหว่างสงครามอินโดจีน กับอีกหนึ่งห้องที่เป็นผลงานภาพถ่ายของช่างภาพญี่ปุ่นล้วนๆ แค่ภาพเหล่านี้ก็แทบไม่ต้องอ่านคำบรรยายความโหดร้ายของสงครามขณะนั้น

ใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้เวลาไปต่อที่โบสถ์นอร์ธเทอดาม ศิลปแนวฝรั่งเศสที่เหลือไว้ให้ไซ่ง่อนจนเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างชาติและคนเวียดนามเองให้มาเยือน ความสวยงามยิ่งดูแปลกตาเมื่อฉากหลังเป็นตึกสมัยใหม่ เห็นถึงความเป็นไปของเมืองนี้ ที่ด้านข้างมีสถานที่ที่สวยงามอีกแห่งคือไปรษณีย์กลางไซ่ง่อน มองแค่จากรูปดูไม่รู้ว่านี่คือเวียดนาม อย่างกับอยู่ที่ไหนซักที่ในยุโรป

เดินมาครึ่งวันแล้ว ความล้าเริ่มมาเยือน แถมอาหารเมื่อเช้าเริ่มแผลงฤทธิ์ หาที่ปล่อยของดีกว่า เดินๆไปเห็นเป้าหมายแล้ว เป็นห้างหรูกลางเมืองไซ่ง่อน ห้องน้ำที่นี่คงสะอาดน่าใช้อยู่ ต้องขอบคุณวินคออมเซ็นเตอร์ ที่เป็นที่พักที่ปล่อยให้กับคนเดินทางแนวประหยัดแบบนี้

เสร็จธุระเรียบร้อยพร้อมเดินทางต่อ ไปอีกไม่ไกลเป็นอนุเสาวรีย์โฮจิมินห์ สถานที่บังคับอีกแห่งที่ใครมาไซ่ง่อนก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ ถ่ายเสร็จฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาอีกครั้ง ต้องหลบฝนที่โรงแรมข้างๆ อีกครึ่งชั่วโมง

ดูนาฬิกาก็สี่โมงกว่าแล้ว ผมตัดสินใจใช้เวลาช่วงเย็นที่เหลือนี้ที่ตลาดเบนถานดีกว่า นับว่าเดินครบรอบพอดีกลับมาที่จุดเริ่มต้นที่ตลาดนี้ ภายในตลาดมีทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน อาหารสด อาหารแห้ง เท่าที่สำรวจราคาก็นับว่าถูก แม้ว่าจะเป็นคนต่างชาติโดนแม่ค้าโก่งราคาไปบ้าง แต่ก็เป็นที่รู้กันว่ามาช็อปที่แบบนี้ก็ต่อตามใจชอบกันไป

( ภาพโบสถ์นอร์ธเทอดามที่ฉากด้านหลังเป็นตึกสมัยใหม่ไดมอนพลาซ่า )

กว่าจะออกจากตลาดฟ้าก็มืดเรียบร้อย ได้เวลาตระเวนราตรีที่ย่านอันเปรียบเหมือนถนนข้าวสารของเมืองไซ่ง่อน เหมือนมากครับทั้งร้านรวง บรรยากาศ นักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งแบ๊คแพ็ค ไม่บอกไม่รู้คิดว่าอยู่ถนนข้าวสารเมืองไทย ตอนนี้ผมเริ่มย่ามใจไม่ได้พกแผนที่ติดตัวมาแล้ว คิดว่าไม่น่าจะหลงแล้ว

( ภาพด้านหน้าโบสถ์ )

แต่สุดท้ายเดินชมแสงสีไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็จำทางไม่ได้แล้ว ยิ่งเดินยิ่งหลงไปกันใหญ่ ฝนห่าใหญ่รอบที่สามก็ตกมาเพิ่มความลำบากเข้าไปอีก เดินหลงไปมา ถามทางไปเรื่อยก็ไปโผล่อยู่หน้าห้างขนาดเล็ก เป็นห้างสไตล์สังคมนิยม บ้านเราก็คงเป็นห้างสหกรณ์อะไรแบบนั้น ลองเข้าไปสำรวจสินค้าด้านในดีกว่า เป็นการหลบฝนไปในตัว แถมห้างนี้ปิดดึกถึงสี่ทุ่ม คงพอฆ่าเวลาได้ระหว่างรอขึ้นรถ 5 ทุ่ม

( ไปรษณีย์กลางด้านข้าง ดูแค่นี้ไม่รู้ว่าอยู่เวียดนาม )

น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ที่นี่ เข้มงวดเรื่องการถ่ายภาพด้านในห้างมากๆ ไม่อย่างนั้นคงได้เก็บภาพสินค้าด้านในมาให้ชมกัน สินค้าส่วนใหญ่ราคาถูกกว่าบ้านเรา และมีสินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์ดังจากบ้านเรามาขายที่นี่เป็นจำนวนมาก และดูว่าจะเป็นที่นิยมของคนเวียดนามซะด้วย ตำแหน่งของสินค้าไทยเราน่าจะเป็นที่สินค้าดี มีมาตรฐาน ราคาไม่แพงนัก

( อนุเสาวรีย์โฮจิมินห์ )

ผมถือโอกาสตุนเสบียงไว้เผื่อหิวบนรถ ทั้งชาเขียว ขนมกรุบกรอบ ที่นี่ถูกจริงซองละ 4 - 5 บาท ปริมาณมากเหมือนซองละ 20 บ้านเรา ออกจากห้าง 3 ทุ่มกว่าแล้ว ยังเหลือเวลา ผมเริ่มจับเส้นทางได้แล้ว เดินกลับมาแถวถนนข้าวสารอีกครั้ง เพื่อใช้เวลาที่เหลือนั่งชิลๆ จิบน้ำปั่น กับขนมซองของเวียดนาม ดูแสงสีของไซ่ง่อนยามค่ำคืน

( ภายในตลาดเบนถาน สินค้ามากพอๆกับคนเดิน )

( เฝอมื้อแรกในตลาดเบนถาน โดนแม่ค้ากระโดดล็อกคอตื้อให้กิน รสชาดดีครับมือนี้ )

วันนี้ วันแรกในเวียดนาม ผ่านไปแบบทุลักทุเล ทั้งจากอากาศร้อนและฝนที่ตกได้ทั้งวี่ทั้งวัน เสื้อผ้าเปียกแล้วเปียกอีก และเดิน เดิน เดิน มากกว่า 8 ชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ได้ระยะทางเท่าไร สภาพบ้านเมืองดูไม่ต่างจากบ้านเรานัก ที่แตกต่างและทำให้รักเมืองไทยขึ้นมาอีกเยอะ ก็ตรงที่คนนี่แหละ บ้านเราต่อให้มีอะไรขัดใจไปบ้างแต่ก็น่าอยู่กว่า คนให้ความเคารพต่อกันมากกว่า มีรอยยิ้มให้กันมากกว่า ไซ่ง่อนที่แปลกตานี้ เป็นประสบการณ์ใหม่ที่เข้ามาในชีวิต ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชอบมากนัก แต่ก็ทำให้เรารักเมืองไทยขึ้นอีกมากมาย

( สีสรรยามราตรีที่ไซง่อน บริเวณที่เป็นเหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา)

โปรดติดตามตอนต่อไป ... การเดินทางสู่ดาลัต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น