วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Don't tell my mother that I reach Vietnam # 1

" หลายครั้งที่ผมถามตัวเองว่า ชีวิตนี้เกิดมาทำไม ... บางครั้งก็มีคำตอบ บางครั้งก็ไม่มีคำตอบ เมื่อเวลาผ่านไปกลับมาถามตัวเองอีกที ก็ได้คำตอบต่างกันไปอีก

ถามคนรอบข้างด้วยคำถามเดียวกันนี้ ก็ได้คำตอบต่างกันไปอีก ในวันหนึ่งผมจึงรู้สึกว่า มันเสียเวลาเปล่าที่จะมาถามตัวเองด้วยคำถามอะไรแบบนี้

เวลาที่เหลืออยู่จากวันนี้ต่างหากที่มีค่าให้คิดถึง จะทำอะไร ให้ใครต่อจากนี้ไป "

และครั้งนี้ ผมขอจะเวลาที่พอจะหาได้ 5 วันเต็มๆ กับการเดินทางคนเดียวอีกครั้ง ชื่อสถานที่ท่องเที่ยวคร่าวๆ ในเวียดนามถูกจดไว้เป็นเป้าหมายในการเดินทาง กระเป๋าสะพายหลังใส่เสื้อผ้าไปไม่มากนัก กับพาสปอร์ต และเงินติดตัวอีก 200 ดอลล่าร์ คิดว่าน่าจะพอถ้าไม่ใช้ฟุ่มเฟือยนัก

( น้องแอร์คนสวย หน้าตาคมเข้มคนนี้กำลังสาธิตตามสูตร ดูแล้วเพลิน )

ก่อนเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ ผมจองตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย ไปกลับกรุงเทพ - โฮจิมินห์ ได้ที่ราคาประมาณ 4800 บาท หย่อนนิดหน่อย รวมภาษีสนามบินแล้ว ค่อนข้างแพงถ้าเทียบกับคนที่ได้ตั๋วโปรโมชั่น ที่ค่าตั๋วอาจจะไม่มี มีเพียงแค่ภาษีสนามบิน รวมแล้วก็คงถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง

( ใกล้ถึงสนามบินTan Son Nhat อยู่ใกล้เมืองมาก จึงได้เห็นมุมมองนี้ที่ปีกเครื่องอยู่เหนือจากบ้านเรือนผู้คนไม่มากนัก )

ใช้เวลาบินเพียงชั่วโมงเศษ เครื่องออกจากสุวรรณภูมิ 7.50 น. ถึงที่หมายสนามบิน Tan Son Nhat โฮจิมินห์ซิตี้ 9.15 น. เกินไปนิดหน่อย บินเดี่ยวครั้งแรกอย่างผมครั้งนี้ เห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ไล่ไปตั้งแต่นางฟ้าชุดแดงของแอร์เอเชีย ไปจนถึงวิวนอกหน้าต่างๆ สวยๆ ยามเหมือนปีกเครื่องลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ ไม่ทันไรก็เตรียมลงเครื่องได้แล้ว

( ที่หน้าสนามบิน Tan Son Nhat เจ้าหน้าที่ที่นี่ยังดุสไตล์คอมมิวนิสต์ แถมดุเป็นภาษาเวียดนามอีกต่างหาก ฟังไม่รู้เรื่องครับ )

สนามบินเค้าก็หน้าตาคล้ายๆของเรา แต่ดูจะเล็กกว่ามาก ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ลงมาชั้นล่างก็ถึงทางทางออกแล้ว ทำเอาลืมของสำคัญที่ทราบข้อมูลมาว่า จะมีสาวเวียดนามในชุดประจำชาติยืนแจกแผนที่อยู่ที่ทางออก แต่ก็ไม่เห็น แต่ก็ไม่ลืมขั้นตอนสำคัญอีกอย่างคือต้องแลกเงินดอลล่าร์ที่เตรียมมาซักส่วนหนึ่ง เพราะต้องใช้เป็นค่ารถประจำทาง แลกที่สนามบินนี้ผมได้ที่อัตรา 1 ดอลล่าร์ต่อ 19200 เวียดนามด่อง ( มารู้อีกทีในวันต่อมาที่ได้แลกกับธนาคารจะได้ที่อัตรา 1 ดอลล่าร์ต่อ 19400 เวียดนามด่อง ไม่ขาดทุนมากนัก )

( ความสามารถในการขับขี่ของคนที่นี่ เหนือชั้นจริงๆ ไหลตามกันไป รีบไปก็เท่านั้น )

ผมเลือกใช้บริการรถประจำทางจากสนามบินเข้าไปในเมือง ก็ต้องขอขอบคุณข้อมูลทางอินเตอร์เนตจากหลายๆแหล่งที่ทำให้ทราบว่าต้องเดินทางไปไหนอย่างไร รถประจำทางสาย 152 นี้จอดรออยู่ทางขวาเมื่อเดินออกมาจากสนามบิน ค่าโดยสารสุดถูกที่ 3000 ด่อง เงินไทยคิดแล้วก็แค่ 4.50 บาท ประหยัดกว่านั่งแท็กซี่เยอะ

( ตลาดเบนถาน จุดศูนย์กลางแหล่งท่องเที่ยวเมืองไซ่ง่อน ไปไหนไม่ถูกก็มาเริ่มต้นที่นี่ เช้าๆยังส่วนของตลาดนัดไม่คึกคักนัก เพราะที่นี่กว่าจะปิดดึก เลยเปิดสายหน่อย จะคึกคักก็เฉพาะส่วนของตลาดสด )

จากสนามบินเข้าเมือง ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ผ่านถนนสำคัญๆ ของโฮจิมินห์ซิตี้ ( ต่อจากนี้ผมจะขอเรียกว่าไซ่ง่อน หรือไซกอน อย่างที่คนเวียดนามเค้าเรียกกัน ) ได้เห็นสภาพการจราจรของที่นี้แล้วก็ต้องบอกว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ที่เคยได้ยินมาว่ามันวุ่นวายมากมายเพราะด้วยปริมาณมอเตอร์ไซค์จำนวนมหาศาล ที่ขับกะชั้นชิดกันจนรถใหญ่ ก็ทำได้แต่ไหลตามมอเตอร์ไซค์ไปอย่างนั้น เสียงแตรดังประสานเสียงจนยากที่จะเดาออกว่ามาจากคันไหน

( ข้าวมื้อแรกก็ทำเอาเสียอารมณ์แล้ว ในเมนูเขียนชัดๆว่าข้าวผัดกุ้งมาเลเซีย ไหนตอนมาเสิร์ฟ มันเป็นข้าวผัดไข่ ไร้กุ้งแบบนี้ กระซิบหน่อยว่าอยู่ข้างๆ บริษัทเวียตซีนั่นแหละครับ จะทานกันก็ระวังหน่อย )

คนข้ามถนนที่นี่ก็ช่างกล้าบ้าบิ่น ข้ามเหมือนไม่ต้องมองรถ แค่เดินไปช้าๆ มอเตอร์ไซค์เหล่านั้นก็จะหลบให้เอง วันแรกที่ไปถึงผมก็ยังกล้าๆกลัวๆ แต่อยู่ไปซักพักชักจะชิน ก็ทำอย่างที่คนเวียดนามทำคือเดินไปเฉยๆ ไม่ต้องวิ่ง ไปตามทางของเรา เดี๋ยวเค้าขับหลบเราเอง เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะถิ่นจริงๆ

( ณ. ร้านเดิม ยังไม่เข็ด สั่งเปาะเปี๊ยะสดมาซ้ำด้วยความหิว ก็ยังไม่ผ่านอยู่ดี เย็นชืดแป้งเหนียวแข็ง หรือว่าบ้านเขาเรียกแบบนี้ว่าอร่อยก็ไม่รู้ )

ผมเลือกลงที่ท่ารถตรงข้ามตลาดเบนถานอันเป็นจุดศูนย์กลางของเขตแหล่งท่องเที่ยว ได้ข้อมูลมาว่าถ้าจะไปเที่ยวเมืองอื่น ที่ตั้งใจไว้ก็คือเมืองดาลัต และมุยเน่ ก็คงต้องใช้บริการบริษัททัวร์ก็จะสะดวกสบายที่สุด ผมใช้บริการของบริษัทเวียตซี Viet sea อันเป็นข้อมูลที่ได้จากเว็บของพี่วุฒิ เคท ต้องขอขอบคุณไว้ ณ. ที่นี้ด้วยครับ

( ยังดีที่พนักงานมีรอยยิ้มสวยๆให้แบบนี้ ไม่อร่อยก็ให้อภัยครับ )

เดินจากตลาดไปบริษัททัวร์เวียตซีที่ถนน Pham Ngu Lao ด้วยความที่ยังไม่ชินทางเดินวนไปวนมาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเจอเล่นเอาเหงื่อชุ่ม อากาศที่ไซ่ง่อนวันนี้ ร้อนอบอ้าว มีเมฆครึ้ม สัญญาณอันตรายก่อตัวแล้ว วันนี้มีหวังต้องเดินตากฝน

ถึงบริษัทเวียตซีก็กางโพยที่เตรียมไว้ อธิบายแผนการให้พนักงานฟัง พนักงานที่นี่ท่าทางจะคุ้นเคยกับคนไทยดี คงเพราะพี่วุฒิเคท โฆษณาไว้มาก จึงมีคนไทยเดินทางมาตามเส้นทางที่พี่ทั้งสองคนเขียนเอาไว้ การเดินทางของผมครั้งนี้มีเวลาน้อยไปหน่อย ไปเต็มที่ก็ได้แค่ 2 เมือง แถมต้องนอนบนรถอีก 2 คืน ได้นอนสบายๆในโรงแรม 2 คืน และต้องกลับมาไซ่ง่อนอีกครั้งในวันศุกร์เที่ยวอีกครึ่งวันแล้วขึ้นเครื่องบินกลับ แผนเดิมว่าจะอยู่ไซ่ง่อนนานหน่อยชักไม่เข้าท่า เพราะดูแล้วฝนแบบนี้น่าจะตกอีกหลายวัน เลยเปลี่ยนแผนนิดหน่อย แผนการเดินทางที่สรุปการจองตั๋วและที่พักแล้วของผมมีดังนี้

วันจันทร์ 22 พ.ย. ตะเวนเที่ยวไซ่ง่อน เดิน เดิน และเดิน จน 5 ทุ่ม ขึ้นรถไปเมืองดาลัต ค่ารถ 9USD

วันอังคาร 23 พ.ย. ถึงดาลัตเช้า ตะเวนเที่ยวดาลัต เดินอีกแล้ว ขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นก็คงต้องเดินเอา พักที่ดาลัต โรงแรม Thanh Loan Villa ราคาพอไหว 16 USD

วันพุธ 24 พ.ย. ยังคงตะลุยเมืองดาลัต เอาให้ทั่วครับ พักที่เดิม 16 USD

วันพฤหัส 25 พ.ย. 7.30 น. ขึ้นรถไปมุยเน่ ถึงประมาณบ่ายโมง ค่ารถ 7 USD และคืนเดียวกันนี้ตีหนึ่ง ขึ้นรถจากมุยเน่ กลับไซ่ง่อน ถึงไซ่ง่อน 6 โมงเช้า ค่ารถ 7 USD วันนี้น่าจะโหดสุดแล้ว

วันศุกร์ 26 พ.ย. ถึงไซ่ง่อนเช้า ไปทัวร์อุโมงค์กู๋จี ครึ่งวัน ค่าทัวร์ 5USD จบบ่ายสอง เดินทางไปสนามบิน ขึ้นเครื่องกลับบ้าน

รวมค่าใช้จ่าย 9+16+16+7+7+5 = 60 USD พอดิบพอดี พนักงานใจดีลดให้อีกเหลือ 58 USD เป็นเงินไทยก็ 1740 บาท ไม่เกินงบ เหลือเงินติดตัวอีกตอนนี้ก็ประมาณ 140 USD ทริปนี้น่าจะอยู่ได้สบายๆ แถมมีเงินเหลือกลับบ้านเป็นแน่

จองตั๋ววางแผนการเดินทางวันต่อๆไปเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาสำรวจไซ่ง่อน

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น