วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Dont tell my mother that I reach Vietnam #6 ... ดีแค่ไหนแล้วที่ได้เกิดเป็นคนไทย

( ตอนกินอร่อยดี ตอนคิดตังค์เหมือนโดนปล้น )

ตีหนึ่งแล้ว ผมลงจากห้องเพื่อมารอขึ้นรถ เพราะไม่แน่ใจว่าที่บริษัททัวร์บอกว่าจะมารับถึงที่ปลุกถึงห้องนั้นจะจริงหรือ ไหนๆก็ไม่ได้นอนก็ลงมารอหน้าโรงแรมดีกว่า ผมลงไปนี่ทุกคนหลับหมดแล้ว แม้แต่เด็กเฝ้าโรงแรมที่คุยกันตอนหัวค่ำว่าจะรอผม ก็ไม่เห็น เดินมาเปิดประตูเองในความมืด สงสัยถ้ารถมาจริงคงต้องคืนกุญแจเช็คเอ้าท์ด้วยตัวเองแล้วมั้ง

( เฝอหมู เพิ่มไก่อีกชิ้น )

ตีหนึ่งครึ่งก็แล้ว รถก็ยังไม่มา ในใจก็เริ่มหวั่นไหวอีกแล้ว ว่ามันจะเบี้ยวเรารึเปล่า ฝรั่งที่รออยู่ถัดไปอีกโรงแรมหนึ่งเข้ามาบ่นกับผมอย่างออกอารมณ์ ผมพยายามบอกให้ใจเย็นๆ โมโหไปก็เท่านั้น ที่นี่เวียดนามครับ ถ้าเอาบริการดีกว่านี้ ต้องไปเมืองไทยครับ ถือโอกาสโฆษณาการท่องเที่ยวไทยซะเลย

( แหนมเนือง 1 ชิ้น กุ้งพันอ้อย 1 ไม้ )

ผมว่าระบบการให้บริการการท่องเที่ยวที่มีมีปัญหาจริงๆ แม้พนักงานบางส่วนจะพยายามให้การบริการเพียงใด แต่ด้วยตัวโครงสร้างเองมันมีปัญหา ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ได้รับความสะดวกสะบาย เช่นรถที่วิ่งระหว่างเมืองแบบนี้ ดูเหมือนว่าการไปรับถึงโรงแรมนั้นจะเป็นเรื่องดี แต่มันก็ทำให้รถสายไปเรื่อยๆ เพราะแขก 1 คน ก็ใช้เวลามากน้อยต่างกันไป สู้ให้ทั้งหมดเดินทางไปขึ้นรถที่จุดเดียวกันไปเลยดีกว่า ไม่เลทไม่ผิดพลาดด้วย

( กาแฟของฝากกับถ้วยชง ราคาไม่แพงหอมน่ากิน )

และเวลาเดินรถก็ต้องปรับปรุง ทางไม่ไกลแบบนี้ ให้ขึ้นรถตอนตีหนึ่งกว่าๆ ถึงที่หมายเช้าตรู่ ดูไม่น่าพิสมัยจริงๆ ควรมีรถรอบเย็นประมาณ 5-6 โมงเย็นถึงที่หมายซัก 3-4 ทุ่ม แขกจะได้หาที่พักในคืนนั้นได้ โรงแรมก็ได้ที่พักอีกหนึ่งคืนเช่นกัน

ผมรู้สึกว่า การท่องเที่ยวเวียดนามนั้นเหมือนต่างคนต่างทำ เอกชนทำกันเอง ทั้งรถ โรงแรม โดยมีบริษัททัวร์เป็นด่านหน้า ทุกอย่างมารวมศูนย์ที่นี่ แต่นี่อาจนับได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่เป็นแบบเฉพาะตัวของที่นี่ สำหรับเมืองไทยก็เป็นอีกแบบที่การท่องเที่ยวเหนือชั้นระดับโลกไปแล้ว นักท่องเที่ยวเลือกการเดินทางเองได้หลายรูปแบบ แทบไม่ต้องง้อบริษัททัวร์ท้องถิ่น

( บรรยายความก่อนเข้าชมอุโมงค์จริง )

บนรถทัวร์ก็เต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่ได้แก้ยากเย็นอะไรเลย แค่ระบุที่นั่งซะทุกอย่างก็จบ แต่นี้ไม่ระบุใครมาก่อนขึ้นก่อน และพอมีปัญหาก็ให้คนรถเป็นคนแก้ แถมคนที่ผมขึ้นนี้ยังมีประเภทเพื่อนคนรถขึ้นมาแบบตั๋วฟรีอีก เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ

ผมหลับได้เพราะความอ่อนล้าที่เจอมาทั้งวัน ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยแสงตะวันแยงตา เข้าเขตตัวเมืองไซ่ง่อนแล้ว นั่งรถชมวิวไซ่ง่อนแบบนี้ทำให้รู้ว่าไซ่ง่อนไม่ได้มีแต่เขตแหล่งท่องเที่ยวกลางเมืองซึ่งถือเป็นโซนหนึ่งของเมืองเท่านั้น รอบเมืองออกไปดูเจริญเข้าใกล้กรุงเทพมาติดๆ ไม่นับรวมสีลมสาธรแถบนั้นนะครับ

( สาวฝรั่งขอโชว์มุดอุโมงค์ )

เช้าวันนี้ที่ไซ่ง่อนผมเดินไปตลาดเบนถานอีกครั้งเพื่อหาของกิน และซื้อกาแฟไปฝากที่บ้าน เลือกเอาร้านที่กำลังปรุงใหม่ๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอเรื่องเสียความรู้สึกอีกแล้ว ผมดูเมนูคร่าวๆ เห็นว่า เฝอชามนึงก็ประมาณ 3 หมื่นด่อง ผมสั่ง 1 ชาม เห็นไก่ย่างเพิ่งลงจากเตา เลยสั่งไก่มา 1 ชิ้นเล็กๆ กับแหนมเนือง 1 ไม้ และกุ้งพันอ้อย 1 ไม้ น้ำผลไม้ปั๋น 1 แก้ว น้ำดื่ม 1 ขวด คิดว่าอย่างมากก็ 1 แสนด่อง เอาเข้าจริงโดนไป 1 แสน 7 หมื่น 250 บาทไทย ผมขี้เกียจถือสาหาความไล่เบี้ย เราผิดเองที่ไม่ถามราคาก่อน เซ็งครับ หาที่ทิ้งระเบิดใส่ตลาดมันดีกว่า

( หนุ่มฝรั่งคนนี้บ้ามวยไทย )

ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ผมยังมีทริปเหลืออีกหนึ่งทริปในวันนี้ เป็นทริปเดินทางไปอุโมงกู๋จี อุโมงค์ที่ฝ่ายเวียตกง และคนท้องถิ่นขุดไว้เพื่อหลบภัย และต่อต้านกองกำลังสหรัฐในสงครามเวียดนาม มีความยาวกว่า 250 กิโลเมตรใต้ผืนแผ่นดิน มีไกด์ชาวเวียดนามคอยอธิบายความเป็นภาษาอังกฤษ ฟังง่ายกว่าฝรั่งพูดภาษาอังกฤษเยอะ

ไกด์บอกความเป็นมาของอุโมงค์นี้ และวิธีที่อเมริกาพยายามจะทำลายอุโมงค์แห่งนี้ ทั้งสูบน้ำมาเทใส่อุโมงค์ จุดไฟเผา เอาหมาดุๆ ลงไปในอุโมงค์ แต่ก็ไม่สำเร็จ และก็ต้องพ่ายแพ้ไป ด้วยความรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวบ้านและกองกำลังเวียตกง บวกกำความชำนาญพื้นที่ และกลวิธีการรบแบบกองโจร ที่ทำให้กำลังทหารของมหาอำนาจสิ้นท่า

( รูปนี้เห็นในเว็บหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้มาถ่ายเอง )

มาทริปนี้ได้ฟังเรื่องราวของคนเวียดนามที่ต้องผ่านสงครามมายาวนานหลายทศวรรษ ตั้งแต่ขับไล่ฝรั่งเศษ สงครามโลก ขับไล่ญี่ปุ่น ขับไล่อเมริกา สุดท้ายก็รวมชาติได้ แม้จะไม่ได้เป็นประชาธิปไตย อย่างที่ใครๆในโลกล้วนนิยมชมชอบ แต่ผมว่าลึกๆแล้วคนเวียดนามก็คงภูมิใจที่มีวันนี้ 30 กว่าปีก่อนประเทศบอบช้ำแทบไม่เหลืออะไร แต่วันนี้ เมืองใหญ่อย่างไซ่ง่อน กำลังหายใจรดต้นคอเมืองประชาธิปไตยอย่างกรุงเทพ อะไรคือสิ่งที่ควรให้ความนิยมหรือ ระบอบที่เค้าว่ากันว่าดี หรือคนในชาติเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกันแน่

( เข็มกลัดเล็กๆบนหมวกเครื่องหมายเวียดกง ผ้าพันคอไว้กันแก๊สพิษ และรองเท้ายางพารา สัญลักษณ์ของเครื่องแบบทหารเวียดกง )

ประเทศเราไม่ต้องเจออะไรที่หนักหนาขนาดนี้ แต่ก็ยังมีขัดแย้งกันแทบตลอดเวลา หรือว่าเราจะต้องเจออะไรหนักๆแบบนี้ถึงจะรวมใจกันได้ ต้องเจ็บก่อนแล้วถึงจะจำกันได้ใช่มั้ยครับ

ความนิยมข้อเดียวที่ผมเห็นในตัวคนเวียดนามก็คงเป็นตรงนี้ ที่เพียง 30 กว่าปี ก็มาทาบประเทศเราได้แล้ว แต่โดยรวมๆ แล้วจะให้มาอยู่ที่นี่ก็คงไม่เอาหรอกครับ จะดีจะร้าย เมืองไทยก็อบอุ่นกว่า คนส่วนใหญ่ยังมีน้ำใจให้กันมากกว่า

ที่สำคัญสาวไทย สวย น่ารักที่สุดในโลกครับ

ผมจบทริปช่วงบ่ายตามกำหนดเวลา นั่งรถเมล์ 152 สายเดิมกลับไปสนามบิน เหลือเงินติดกระเป๋าเป็นเงินด่องเพียง 1000 ด่อง หรือประมาณ 1.50 บาทไทย ใช้เงินได้พอดีตามงบจริงๆ

ขอบคุณที่ติดตามรับชมครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น