วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Dont tell my mother that I reach Vietnam #5 ... วัดพลังกายใจที่ทะเลทรายมุยเน่

นอนคิดถึงเธออยู่นานกว่าจะหลับ ตื่นเช้าขึ้นมาก็คงต้องมองต่อไปข้างหน้า เช้าวันนี้ผมต้องลาดาลัตแล้วมุ่งหน้าไปมุยเน่ เขตหนึ่งในจังหวัดฟานเทียต เมืองตากอากาศอีกเมืองของเวียดนามแต่เป็นแนวทะเลและชายหาด น่าจะเทียบได้กับชะอำหัวหินบ้านเรา กำหนดการคือออกเวลา 7.30 น. ถึงมุยเน่ บ่ายโมง

( ถนนจากดาลัตไปมุยเน่ )

ทางออกจากดาลัตไปมุยเน่ ต้องลัดเลาะลงเขาไป ใกล้ถึงทางราบก็พบกับวิวสวยๆสองข้างทาง เป็นเขาอยู่ไกลลิบๆ เบื้องหน้าเป็นเพียงถนนเส้นเล็กแต่สวยงามทอดไปในพื้นที่โล่งกว้าง ที่เกาะกลางปลูกไม้ประดับเล็กๆ ทำให้รู้สึกได้ว่าบ้านนี้เมืองนี้ยังคงมีกลิ่นอายของฝรั่งเศสหลงเหลืออยู่ในทุกๆที่ที่ไป

( ลัดเลาะขึ้นเขาลงเขา )

หลับบ้างตื่นบ้าง ชมทิวทัศน์พร้อมซาวด์แทรคภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเสียงของฝรั่งหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เพิ่งเจอกันบนรถนี้จีบกันอย่างออกรสชาดให้คนบนรถอิจฉาเล่น 11 โมงกว่าๆ ก็ถึงที่หมาย เป็นอีกครั้งที่กำหนดการเดิมใช้ไม่ได้แล้ว ใครจะไปเที่ยวเวียดนาม แล้วนั่งรถไปเมืองต่างๆ คงต้องคำนวณเวลาใหม่ เหตุน่าจะเป็นเพราะถนนหนทางดีขึ้น ระยะเวลาเดินทางน้อยลง ร่นไปได้เที่ยวละชั่วโมงกว่าๆ

( ที่ท่ารถใหม่ ท่ารถเดิมที่มีข้อมูลน่าจะปิดซ่อมอยู่ อยู่ไกลกันมากผิดแผนไปเยอะ )

ถึงมุยเน่ ลงรถที่ท่ารถเดียวกับที่จะขึ้นรถกลับไปไซ่ง่อนคืนนี้ ทีแรกผมไม่คิดจะเป็นโรงแรมสำหรับแค่ครึ่งคืนในวันนี้ คิดว่าเที่ยวทะเลทรายเสร็จกลับมาเดินเล่นแป๊บๆก็ตีหนึ่ง เวลาขึ้นรถกลับแล้ว เลยขอฝากกระเป๋าไว้ที่เค้าท์เตอร์ท่ารถนั้น ซื้อแผนที่มุยเน่ 1 ฉบับ เท่านี้ก็เรียบร้อย

ยังไม่เข็ดกับบทเรียนเรื่องสเกลในแผนที่ แผนที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่มันจะมีอัตราส่วนไม่สมจริง มักจะเน้นแหล่งท่องเที่ยวและโรมแรมใหญ่ๆซะมากกว่า ผมไม่สนยังคงใช้การเดินเป็นหลักเหมือนเดิมและคิดว่า ถ้าหมดแรงก็โบกมอเตอร์ไซค์เอาละกัน

( มื้อแรกที่มุยเน่ ของคุ้นเคย ทานกับต้มแซบปลาทู )

แต่อันดับแรกนี้ขอเติมพลังก่อนด้วยมื้อเช้าที่ร้านที่คนเวียดนามเข้าไปกินกันมากทีเดียว ท่าทางจะอร่อยและไม่แพง ผมสั่งตามคนเวียดนามโต๊ะข้างๆ ได้มาเป็นข้าว 1 จาน ไข่เจียว ไก่ทอด ผักดองและ ต้มแซบปลาทู คุ้นลิ้นคนไทยครับ

เต็มอิ่มเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทาง ไปจุดแรกที่ น้ำตกแฟรี่ ไม่ไกลนักแต่อากาศร้อนจัดแดดแรง ผมใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างดีกว่า โดนไป 2 หมื่นด่อง เท่านี้ไม่เท่าไหร่ ที่เจ็บใจคือไปโดน กลุ่มเด็กวัยรุ่นเจ้าถิ่นที่ตั้งแก๊ง ดักนักท่องเที่ยวอยู่ที่ทางเข้าน้ำตก ทำที่จะเป็นคนนำทางให้ ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวจะต้องทิปมันซักหน่อย ซัก 5 หมื่นด่องก็น่าจะพอ เพราะเดินเข้าไปน้ำตกกลับมาก็ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

( แฟรี่สตรีม ที่มุยเน่ ไอ้เด็กกางเกงแดงนั่นแหละครับทำเสียความรู้สึกมากๆ)

แต่พอเอาเข้าจริง เด็กเหลือขอคนนี้กลับทำสิ่งที่นักท่องเที่ยวอย่างผมเกลียดนักหนาคือการเรียกร้องอะไรที่มันเกินไปมากๆ เดินนำไปนำกลับแค่นี้ จริงๆไม่ต้องมีก็ได้ ไอ้เราก็เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มจะให้ตังค์ใช้ มันกลับจะเรียก 2 แสนด่อง หรือ 300 บาทไทย

ในใจก็โมโหอยู่ แต่ว่าเห็นแล้วว่าที่ทางเข้ามานั้นมีพวกมันอยู่ 10 กว่าคน ขืนพูดอะไรไปไม่มีคงมีหวังไม่ได้กลับบ้าน ก็ได้แต่ต่อรอง และบอกมันว่าเราก็ไม่ได้รวย และยังต้องเหลือตังค์ไว้ใช้อีกสองวัน สุดท้าย ก็ให้มันไปอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก ซึ่งก็น่าจะมากพออยู่แล้ว กับงานสบายๆแค่นี้ เสียความรู้สึกที่สุดในทริปนี้เลยครับ ใครจะไประวังหน่อยแล้วกันครับ พวกฝรั่งนกรู้ ไม่เห็นใช้บริการเด็กพวกนี้ซักคน เรื่องความเคี่ยวนี่ต้องยกให้พวกฝรั่งแบ๊กแพ๊คจริงๆ

( ช็อตนี้ชอบครับ ไทย เวียตนาม ฝรั่ง ข้างหลังเป็นหมู่บ้านชาวประมง )

วิวที่น้ำตกแฟรี่ จริงๆน่าจะเรียกว่าลำธารแฟรี่มากกว่า เพราะจริงๆก็ไม่ค่อยมีใครเดินไปถึงน้ำตกเพราะไกลมาก วิวสองข้างดูแปลกตาดีครับ เป็นหินปูนตัดกับทรายแดง มีลำธารไหลผ่านตกกลาง อะไรๆก็ดียกเว้นมาเสียความรู้สึกกับไอ้เด็กพวกนี้แหละครับ

วิวสวยแต่หมดอารมณ์แล้ว ไปที่อื่นดีกว่า ที่หมายต่อไปคือทะเลทรายแดง ก่อนหน้านี้หาข้อมูลมาก็ว่าไม่ไกลอีกนั่นแหละ สงสัยผมคงอ่านข้ามไปว่าไอ้ที่ไม่ไกลน่ะเค้านั่งรถหรือเปล่า ไอ้เราใช้การเดิน เดินไปเดินไปเหมือนจะถึงแต่ก็ไม่ถึงซักที สุดท้ายก็ต้องพึ่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกครั้ง เพราะรู้ตัวว่าพลังงานใกล้หมดแล้ว

( เรือประมงนับพันจอดพักริมอ่าว )

คราวนี้โดนไปอีก 4 หมื่นด่อง แพงเอาการ ทางก็ไกลอยู่ เดินไม่ถึงแน่นอน ถนนที่นำเราไปถึงทางเข้าทะเลทรายจะอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน ส่วนถนนที่ผมเดินลัดเลาะมาจะอยู่ริมทะเล เทียบกับในแผนที่แล้ว ผมเลยมีความคิดพิเรนอีกครั้งที่จะเดินตัดทะเลทรายจากทางเข้า มาออกที่ถนนติดทะเล

ที่ทางเข้าทะเลทราย มีเด็กๆ หลายสิบคนคอยให้บริการแผ่นสไลเดอร์ พูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว สงสัยจะจับอาชีพนี้มานาน ผมเดินผ่านไปซักพักจากจุดที่มีคนมากๆ คนเริ่มน้อยลง และในที่สุดผมก็รู้ตัวแล้วว่าเป็นมนุษย์คนเดียวในทะเลทรายแห่งนี้

( ชั่วโมงแรกในทะเลทรายยังหลั่นล้า )

ณ. เวลานั้นบ่ายสองกว่า แดดแรงจัด แต่พลังกายพลังใจยังเหลือเฟือ ยังคงเล่นกล้องถ่ายภาพมุมต่างๆในทะเลทรายอย่างตื่นตาตื่นใจ ผมยังมั่นใจอยู่ว่าจะเดินตัดไปให้ได้ เพราะมองไปไกลๆ ก็ยังเห็นทะเลโอบล้อมพื้นที่ทะเลทรายนี้ แถมยังอุ่นใจเมื่อยังมีรอยเท้าคนให้เห็นเบื้องหน้าเราอยู่ แปลว่ามีคนเดินผ่านทางนี้มาก่อนแล้ว

ผ่านไปชั่วโมงเต็มๆ น่าจะซักครึ่งทางได้แล้ว อยู่ๆรอยเท้าก็หายไป ผมสังเกตที่รอยเท้าให้ดีอีกครั้งมันเป็นรอยที่เดินกลับจากจุดนี้ ผมคิดอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไร เดินกลับทางเดิมก็ชั่วโมงนึง ไปต่ออีกครึ่งก็น่าจะชั่วโมงนึง ผมเลือกที่จะเดินไปต่อ เป็นรอยเท้าแรกบนผืนทะเลทรายแห่งนี้

( บริการสไลเดอร์ )

เดินไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเริ่มสับสน ความกลัวเริ่มย่างกลายเข้ามาหา การอยู่คนเดียวในสถานที่อย่างนี้ มันกำลังวัดกันระหว่างความกลัวและความกล้า ความคิดแวบมาเรื่อยๆ ว่าถ้ามันมีงูหรือแมงป่อง สัตว์มีพิษในทะเลทรายอย่างที่เคยเห็นในสารคดีมากันจะทำไง ร้องให้ใครช่วยก็ไม่มีใครได้ยินแล้ว ผมตัดสินใจใส่รองเท้าผ้าใบเพื่อป้องกันไว้ดีกว่า แม้จะทำให้รองเท้าแทบพังในเวลาต่อมา

พยายามไม่คิดอะไรและมุ่งหน้าตรงไปอย่างเดียว ไม่เหลือความสนุกตื่นเต้นแล้ว ตอนนี้คิดแต่เอาตัวรอดออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดอย่างเดียว สปีดเต็มที่เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมงแล้วที่ผมอยู่ในทะเลทรายนี้ ไอแดดแผดเผา เหงื่อท่วมตัวผสมกับตามแขนขา และรองเท้า นี่มันนรกชัดๆ

( รอยเท้าเบื้องหน้า ผ่านไปครึ่งทางไม่มีให้เห็นแล้ว )

แล้วผมก็มีความหวังขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นถนนอยู่รำไรๆ ผมวิ่งไม่คิดชีวิตฝ่าดงหญ้าที่ขอบทะเลทรายออกไป ที่วิ่งก็เพราะเท่าที่ดูสารคดีบ่อยๆ สัตว์มีพิษมักจะซ่อนตัวอยุ่ตามพงหญ้าเหล่านี้ วิ่งไม่คิดอะไรอีกแล้ว

มาถึงถนน ก็ไม่รู้ว่าเป็นถนนอะไรในแผนที่ รถก็ไม่มีผ่านมาซักคน อีกฟากของถนนเป็นหมู่บ้าน มองข้ามหมู่บ้านไปก็จะเห็นทะเล ตามเซ้นส์แล้วถ้าเดินตัดหมู่บ้านนี้ไปก็น่าจะเจอถนนเลียบทะเลที่ผมเดินมาตอนขามา ผมตัดสินใจเดินตัดหมู่บ้านริมทะเลทรายนี้เข้าไป

พึ้นที่ในหมู่บ้านยังคงเป็นทรายเหมือนทะเลทรายที่ผมเดินข้ามมา มีรั้วเป็นตะบองเพชร ไม้มีหนามชนิดต่างๆ ไม่มีถนน เป็นทรายล้วนๆ และที่สำคัญผมพบกับศัตรุตัวฉกาจ นั่นคือหมาที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้บ้านละหลายๆตัว รุมเห่าคนแปลกหน้าอย่างผม จนคนในหมู่บ้านแตกตื่น ผมพยายามสื่อสารว่าผมหลงทางและจะหาทางไปถนน ชาวบ้านบางคนรุ้เรื่องก็คอยชี้บอกทางให้ นึกในใจไม่ตายที่ทะเลทรายจะมาโดนหมารุมกัดตายมั้ยเนี่ย

และท้ายที่สุดผมก็มาถึงถนนจนได้แม้จะไม่ใช่เส้นเดิมที่ผมเดินตอนขามา แต่ก็มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ เลยจ้างให้พาไปที่ท่ารถ ด้วยราคา 5 หมื่นด่อง ในที่สุดก็รอดมาได้

มาถึงท่ารถ คงทนสภาพตัวเองแบบนี้ไม่ไหวแล้ว แรกทีเดียวจะไม่เปิดโรงแรมก็จำใจต้องเปิดแล้วเพื่อจะได้อาบน้ำ และนอนรอขึ้นรถตอนตี 1 โดนค่าโรงแรมไปอีก 9USD เงินที่ว่าเหลือๆ ชักไม่เหลือซะแล้ว

ทรมานเหลือทน มองตัวเองในกระจกแล้วสมเพท บวกสมน้ำหน้าในความพิเรนที่ทำไปในวันนี้ ตัวไหม้เกรียมอย่างเห็นได้ชัด กว่าจะจัดการทรายจากเสื้อผ้ารองเท้า หมดไปเป็นชั่วโมง อาบน้ำเรียบร้อยก็ทุ่มกว่า กะว่าจะออกมาหาอะไรกิน และก็ได้พบกับความจริงที่ว่า เมืองนี้ปิดหลังพระอาทิตย์ตก คือต่างคนต่างเข้านอน ไม่มีผับเทคบาร์ให้บริการ ถนนเงียบเชียบมีเพียงร้านเฝอเล็กๆ ก็ใกล้จะเก็บร้านแล้วเช่นกัน ขอให้คนขายทำให้ทาน 1 ชามเป็นพิเศษ และก็ได้รู้ว่าหากจะเที่ยวกลางคืนก็ต้องไปเมืองติดกันอย่างฟานเทียต ที่นี่ไม่มี

กลับมาห้องเปิดทีวีดู ทีวีที่นี่เป็นเคเบิ้ลที่รับได้ทั้งช่องจากจีน อารีรังเกาหลี เอชบีโอ รวมถึงบางช่องจากทรูวิชั่น ละครเวียดนามกลับมีน้อยกว่า ซี่รี่ส์จากจีนเกาหลีที่เอามาพากย์เวียดนามแบบใช้คนๆเดียวอ่านคำแปลให้ฟัง แปลกดีครับดูแบบนี้ก็รู้เรื่องกันด้วย

นั่งๆนอนๆซักพัก หยิบปากกาขึ้นมาจดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทริปนี้บ้างกันลืม ก็ใกล้เวลาขึ้นรถกลับไปไซ่ง่อนแล้ว

โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนจบครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น