วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Dont tell my mother that I reach Vietnam #4 ... เทวดากับนางฟ้า บนสวรรค์ที่ดาลัต

( ที่วงเวียนศูนย์กลางดาลัตยามค่ำคืน )

ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ใกล้ 6 โมงเย็นแล้ว รีบอาบน้ำแต่งตัวอีกครั้ง เพื่อไปดูบรรยากาศยามราตรีในดาลัต จุดที่เป็นศูนย์รวมยามค่ำคืนที่นี่ยังคงเป็นบริเวณโดยรอบตลาด ที่ยามเย้าเป็นตลาดสดทั่วไป ตอนกลางคืนแปลงสภาพเป็นตลาดนัด ถนนคนเดิน คนที่มาเดินก็เปลื่ยนไปจากแม่บ้านในตอนเช้า ตอนค่ำๆแบบนี้ กลับเป็นวัยรุ่นถึงวัยทำงาน แบบนี้แหละครับที่ผมอยากสัมผัสนักหนา

( มองจากมุมบนรอบๆ ตลาดดาลัต )

อากาศหนาวๆอย่างนี้ ผู้คนต่างใส่เสื้อกันหนาวแฟชั่นสวยๆมาอวดโฉมกัน น่าอิจฉาแทนคนกรุงเทพ ที่แม้จะมีปัญญาซื้อเสื้อกันหนาวสวยๆแพงๆ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้เอาออกมาใส่ คนที่นี่ซื้อเสื้อกันหนาวได้ในราคาถูก ตัวละ 100 กว่าบาทสำหรับเสื้อใหม่ ไม่กี่สิบบาทสำหรับมือสอง ยี่ห้อก็อบแบรนด์เนมมาก็มี หนุ่มสาวก็เดินควงกันท่ามกลางลมหนาว ที่เด็กลงมาหน่อยก็เดินกันเป็นกลุ่มๆ ชมสินค้าที่วางขายกันกับพื้น

หิวก็มีอาหารให้เลือก มากกว่าตอนเช้าซะอีก ทั้งอาหารประจำชาติอย่างเฝอ ไฮโซหน่อย ก็เป็นเฝอหม้อไฟ หรือจะโลโซ กินมันเผา ไข่ปิ้ง มีร้านเนื้อสัตว์สารพัดย่าง บรรยากาศคล้ายที่ประเทศจีน แต่ที่คนเวียดนามชอบมากๆเห็นจะเป็นอาหารทะเลลวกย่าง หนุ่มสาวนั่งกินกันเป็นโต๊ะใหญ่ริมทางเท้า ผมลงเอยที่ผัดมาม่า เพราะคิดไม่ถึงว่าไอ้คริสปี้นู้ดเดิ้ลที่เห็นในเมนูมันคือมาม่า เอามาผัดกินกับผักแกล้ม มาซะไกล กินมาม่าเหมือนอยู่เมืองไทย

( สถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี ใกล้ๆกับตลาด )

สุดท้ายทางกลับที่พักแวะกินน้ำเต้าหู้ร้อนๆ มองจากมุมกล้องนี้ลงไป ชอบแบบไร้เหตุผล ตลาดนัดกลางคืนอย่างนี้แหละที่อยากมาเห็น มาสัมผัส พรุ่งนี้คงมาเดินอีกรอบ วันนี้ด้วยความล้า กลับที่พักตั้งแต่ยังไม่ดึกมากนัก

เช้าวันที่สองในดาลัต ผมตื่นเช้ากว่าเดิมเพราะเมื่อคืนนอนเต็มที่ และออกเดินทางแต่เช้า เพื่อไปจุดหมายที่อยู่นอกเมืองออกไป คือ วัดเซน Tac Lam ที่อยู่บนเขา และน้ำตกดาตันลา ที่อยู่ห่างกันไม่มากนัก

( สุดท้ายจบที่มาม่าผัด ผักเยอะดีครับ )

ผมยังคงใช้การเดินเป็นหลักเหมือนเดิม วันนี้ท่าทางแดดจะแรงกว่าเมื่อวาน เลยจัดการซื้อหมวกแบบชาวเวียดนามมาใส่ให้เหมือนคนที่นี่ หมวกนี้ก็นับเป็นภูมิปัญญาที่เหมาะกับประเทศนี้ เพราะมีทั้งแดดที่แรง ฝนก็มาก มีหมวกงอบปีกกว้างๆ แบบนี้กันได้ทั้งแดดทั้งฝน เอาเชือกผูกติดคอซะ ไม่ปลิวไปตามลม

เป็นอีกครั้งที่แผนที่ทำพิษ ด้วยความที่ไม่ละเอียดและไม่สเกล ทำให้ผมกะระยะพลาดไปหมด เดินไปถึงทางออกนอกเมืองก็รู้สึกเลยว่า ไม่ไหวแน่ๆ ถ้าจะเดินไปถึงวัดบนเขา เลยต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกครั้ง จำได้ว่าให้ไป 40000 ด่อง ขับไปไกลมากๆ แถมยังลัดเลาะขึ้นเขาไปอีก คิดถูกจริงๆ ถ้าเดินมาไม่มีทางถึงแน่

( เนื้อปิ้งย่าง อาหารยอดฮิต ถนนคนเดิน )

ถึงวัดเซน บรรยากาศร่มรื่น มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปมากมาย มุมสงบให้ทำสมาธิแบบเซน ไว้พระไหว้เจ้าให้จิตใจสงบ ที่ข้างวัด มีบริการเคเบิ้ลคาร์ นั่งข้ามเนินเขาไปอีกฟากหนึ่ง สนนราคา 5 หมื่นด่องรอบเดียว 7 หมื่นด่องไปกลับ ไม่รู้ว่าผมจำผิดมารึเปล่าว่าต้องนั่งรอบเดียวไปลงอีกฟากแล้วเดินไปน้ำตกดาตันลาได้

( น้ำเต้าหู้ร้อนๆก่อนเข้าที่พัก )

และแล้วความจริงก็ปรากฎ ผมจำผิดหรือข้อมูลในเนตผิดก็ไม่รู้ ที่ถูกคือต้องนั่งเคเบิ้ลคาร์กลับมาที่วัด จึงเดินไปต่อที่น้ำตกได้ ไม่ไกลนัก แต่พอนั่งมาแค่รอบเดียวมาลงอีกฟาก คราวนี้ก็มึนสิครับ เดินลงจากเคเบิ้ลคาร์ลงมาก้อทางลงเขาไปเรื่อย มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาถามผมว่าจะไปไหน ผมก็ชี้แผนที่ให้ดู เค้าก็แปลกที่ไม่เรียกขึ้นรถ แต่ดันชี้ให้เดินลงเข้าไป ผมก็คิดว่ามันใกล้ๆ เลยเดินลงไป

แดดตอนนั้นก็แรงมาก เดินมาครึ่งชั่วโมงแล้วถ้าใกล้อย่างที่ว่าก็น่าจะถึงแล้ว ผมเริ่มเคว้ง รอโบกมอเตอร์ไซค์เผื่อจะผ่านมาทางนี้ เวลาต้องการกลับไม่มีให้เห็นซักคัน ข้างหน้าผมเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ คนขับเดินวนไปมาอยู่แถวนั้น ในใจคิดว่าคงเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผมรีบเดินตรงเข้าไปหา

( เช้าๆ ที่อีกฟากหนึ่งของดาลัต เป็นโซนที่อาคารเป็นแบบฝรั่งเศส )

ชี้ตำแหน่งให้ดุบอกว่าจะไปน้ำตกดาตันลา เค้าก็กวักมือให้ขึ้นรถทันที ผมชี้ไปที่กระเป๋าตังค์พร้อมถามว่าฮาวมัช กลับได้คำตอบที่ตื้นตันใจว่า โน่ แล้วโบกมือแสดงให้เห็นว่าไม่ต้อง เค้าจะพาไปส่งให้ฟรีๆ นับเป็นน้ำใจงามๆ ครั้งแรกที่ผมได้รับที่เวียดนามนี้ ผมขอเรียกชายคนนี้ว่าเป็นเทวดาของผมที่ดาลัตนี้ ทำให้ผมชุ่มฉ่ำหัวใจจริงๆ

นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์มาเกือบสิบนาที ไกลเอาการเลยครับ สรุปได้ว่ามันอยู่ทางเดียวกับวัดเซนนั่นเอง ถ้านั่งเคเบิ้ลกลับมาแล้วเดินต่อป่านนี้ก็ถึงไปแล้ว บทเรียนสำคัญเลย คราวหลังต้องแม่นข้อมูลกว่านี้

มาถึงน้ำตก ไฮไลท์สำคัญคือการเล่นรถบนรางไฟฟ้า ประมาณรถไฟเหาะ ลัดเลาะลงไปน้ำตกด้านล่าง อีกคนละประมาณ 5 หมื่นด่อง จะสนุกกว่านี้ถ้าไม่มีฝรั่งโรคจิตคอยขับชนจากด้านหลัง ประเทศเจริญแล้วคนไม่ได้เจริญตามด้วยจริงๆ

( มุมหนึ่งในวัดเซน )

น้ำตกสวยครับ แต่ก็ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจอะไรนัก เมืองไทยมีมากมาย ผมกลับไปสนใจคนที่มาเที่ยวซะมากกว่า ทำตัวเป็นปาปารัซซี่แอบถ่ายซักพัก ก็เห็นสาวคนหนึ่งผ่านหน้าจอที่กล้อง สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นทีเดียว เธอมองมาที่ผมตอนที่ยกกล้องขึ้นถ่ายพอดี ถ้าทางเธอจะรู้ว่าผมแอบถ่าย แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะ

ผมเดินลงไปประจัญหน้าเธออีกครั้ง ดูเหมือนเธอจะมากับเพื่อนเพียงสองคน ดูหน้าตาดีแต่งตัวดีทั้งคู่ อย่ากระนั้นเลยจะนั่งคนเดียวให้เปล่าเปลี่ยวหัวใจทำไม ถ้าได้เดินถ่ายรูปไปกับสองสาวนี้คงสนุกกว่า ผมเลยเดินเข้าไปอาสาเป็นตากล้องให้กับเธอทั้งสอง ดูทีแรกเธอก็งงๆ ว่าอยู่ๆชาวต่างชาติที่ไหนก็ไม่รู้จะมาถ่ายรูปให้ จะคิดตังค์เรารึเปล่าก็ไม่รู้

( ติดกับวัดมีทางขึ้นเคเบิ้ลคาร์ )

แต่อาจเป็นเพราะหน้าตาผมดูไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัย เธอก็เลยตกลง ถ่ายไปพูดคุยกันไปซักพักก็เริ่มสนิทสนม แอ็คเขินๆ ก็เริ่มไม่เขินแล้ว ออกท่าทางกันเต็มที่ทีเดียว ซักพักเธอบอกว่าได้เวลากลับแล้ว เพราะต้องกลับไปทำงานตอนบ่าย พวกเธอเป็นพนักงานขายรถของโตโยต้า มาจากไซ่ง่อนมาออกบูธที่นี่ ได้ยินเช่นนี้ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมต้องหาทางกลับเช่นกัน

ด้านได้อายอดครับ ขอกันตรงๆอย่างนั้นแหละ ด้วยมิตรภาพที่ดีเธอคงให้อยู่แล้ว เธอสองคนเช่าแท็กซี่มาจากในเมือง และก็จอดรอรับกลับอยู่แล้ว มีที่ว่างพอสำหรับผมอีกคนอยู่แล้ว ดั่งฟ้าประทานนางฟ้าสองสาวนี้มาให้ผมจริงๆ ทั้งน่ารัก ทั้งใจดี ทำให้ผมรู้สึกว่าดาลัตนี้คือสวรรค์หรือเปล่า วันนี้ผมเจอทั้งเทวดา และนางฟ้า

( มุมมองจากเคเบิ้ลคาร์ )

ระหว่างทางเธอชวนผมไปกินข้าวกลางวันด้วย โอ้ว อะไรกันนี่ เมื่อไม่ได้คาดหวังอะไร กลับได้น้ำใจดีๆมามากมายแบบนี้ ผมตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เป็นอันว่า เที่ยงนี้ผมได้กินอาหารเวียดนามแท้ๆ กับสองสาวเวียดนามที่ใจดียังกับนางฟ้า ทริปนี้เป็นอันจบบริบูรณ์แล้วครับสำหรับผม เต็มอิ่มแล้ว และถึงแล้วอย่างชื่อเรื่อง คือถึงเวียดนามแล้ว ตามที่ใจปรารถนา ขอบคุณนางฟ้าสองสาวอีกครั้งครับ เธอบอกว่ากำลังจะมาเมืองไทยในอีกไม่นานนี้ เราแลกนามบัตรกันไว้ แล้วซักวันคงได้เทคแคร์เธอตอบที่เมืองไทยนี้ ให้รู้ว่าน้ำใจหนุ่มไทยก็ดีไม่แพ้กัน

ทานข้าวกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย เธอบอกว่าจะกลับที่พักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจะไปทำงานต่อ ซึ่งเธอก็ชี้ให้ดูบูธโตโยต้า ระหว่างทางมาแล้ว ที่พักเธอก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักผม ผมรับปากว่าจะออกมาดูเธอทำงานอีกครั้งตอนบ่ายๆ ตอนนี้ขอกลับไปพักเอาแรงก่อน อาบน้ำแต่งหล่อเสร็จจะมาหานะ

( เรียกไม่ถูกเหมือนกันครับ ใช้ขับลงไปน้ำตกดาตันลา )

ปรากฎว่าโชคชะตาช่างไม่เข้าข้างผมจริงๆ อุตส่าห์นำพาให้มาเจอนางฟ้าแล้ว กลับไม่สานต่อ ผมกลับที่พักเผลอหลับไปแป๊บเดียวตื่นมาสี่โมงกว่า รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินออกไปหาสองสาวที่บูธ ปรากฎว่าเวลานั้น 5 โมงกว่าไม่เหลือบูธให้เห็นแล้ว ความหวังพังทลายหมด

ผมยังเหลือหวังเล็กๆที่จะได้เจอเธอทั้งสอง เพราะเชื่อว่าเธอต้องออกมาเดินที่ตลาดนัดคืนนี้แน่ และตลาดก็ไม่ได้ใหญ่มาก เดินไปเดินมาน่าจะเจอกัน ผมก็เดินไป มองหาไป ทุ่มนึงก็แล้ว สองทุ่มก็แล้ว ก็ไม่เห็นแม้เงา ดันได้เสื้อกันหนาว กระเป๋าตังค์กลับมา คงหมดหวังที่จะได้เจอแล้วล่ะคืนนี้ และอาจไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เพราะพรุ่งนี้เช้าผมต้องออกเดินทางไปมุยเน่แล้ว

( ปาปารัซซี่สมัครเล่น กับนางแบบสุดสวย ที่น้ำตก )

สิ่งสุดท้ายที่นึกขึ้นได้คือ ไปที่โรงแรมที่เธอพัก และอยากจะทิ้งข้อความไว้ให้ ไปถึงโรงแรมก็ได้รู้ว่าเธออยู่บนห้องตอนนี้ พนักงานเสนอจะโทรขึ้นไปเรียกให้ ผมไม่อยากรบกวน เลยจะขอเขียนข้อความถึงเธอไว้แค่นั้น ว่าเมื่อเย็นเดินไปหาแล้ว แต่ไม่เจอ และเราคงได้เจอกันอีกที่กรุงเทพ เพียงเท่านั้นที่ผมพอจะทำได้ พบแล้วก็ต้องมีจากกันแบบนี้ เดินทางบ่อยๆ ผมชักจะชินกับกฎข้อนี้แล้ว

ได้แต่นอนคิดถึง และดูรูปที่ถ่ายคู่กัน เวียดนามทริปนี้จะไม่มีวันลืม ผมข่มตาหลับเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้มีงานโหดรออยู่

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น