วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดิบๆ ที่ลาวเหนือ 5 ... บทสรุปสุดท้าย ที่มิตรภาพไทย-ลาว

เอ้ เอ้ เอ้ เอ้ เอ เอ่ 2 NE 1 ....

เสียงปลุกจากมือถือผมส่งเสียงหนวกหูตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้า ต้องรีบเก็บข้าวของทำธุระส่วนตัวแล้ว เพราะรถโดยสารที่จะไปเวียงจันทน์รอบสุดท้ายคือ 7 โมงเช้า ( ต่อจากนั้นจะเป็นรถตู้ ซึ่งไม่ได้อารมณ์การเดินทางแบบเช้าบ้านแท้ๆ ) ผมและเพื่อนจัดการธุระเสร็จสรรพมาถึงท่ารถก็เกือบ 7 โมงพอดี

( รถแนวๆ โลคัลบัส จากวังเวียงสู่เวียงจันทน์ )

ยังไม่มีคนขึ้นแม้แต่คนเดียว เราสองคนจับจองที่นั่งได้เต็มที่ สภาพรถเกินคำบรรยาย ยังกับเพิ่งผ่านสงครามมาเมื่อวาน อารมณ์นี้แหละที่อยากสัมผัส นั่งรถไปกับชาวบ้านแท้ๆ บ้างก็ไปทำธุระเมืองหลวง บ้างก็เอาของไปส่งที่ตลาด เราเห็นชาวบ้านโบกขึ้นรถระหว่างทางเป็นระยะๆ บางคนอาศัยเอาข้าวสารไปส่งในเมืองด้วย คนขับคนรถมาช่วยขนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีอารมณ์เสียให้เห็นสำหรับประเทศนี้ ความใจร้อนโมโหร้ายคงไม่อาจข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งลาวนี้ได้

( ไก่ย่าง มารองท้องให้หายหิวช่วงเช้าๆ )

ระยะทางจากวังเวียงสู่เวียงจันทน์แม้จะเป็นถนนเล็ก แต่ก็ไม่ได้คดเคี้ยวขึ้นลงเขาเหมือนช่วงหลวงพระบางแล้ว วิ่งได้เร็วกว่ามาก ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงเศษ ก็ถึงท่ารถเวียงจันทน์ ตรงข้ามกันเป็นตลาดเช้า

( สภาพรถอย่างกับเพิ่งผ่านสงครามมา )

ยังไม่ทันได้ลงรถก็มี บรรดาสามล้อสกายแล็บนำเที่ยวกรูกันเข้ามารอรับเราสองคนที่ดูแล้วก็ยังเป็นนักท่องเที่ยวอยู่ดี ข้อเสนอต่างๆพรั่งพรูออกมา ส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกัน ผมเลือกเอาจากโหวงเฮ้งคนขับเป็นเกณฑ์ คือถูกชะตาใครก็คนนั้นแหละ สามล้อจะพาเราเที่ยวรอบเมืองเวียงจันทน์ ประมาณสองสามชั่วโมง แล้วจะพาเรามาส่งที่ท่ารถนี้ เพื่อนนั่งรถข้ามไปหนองคายที่ก็มีออกทุกชั่วโมงอยู่แล้ว

( ประตูชัย แบบเดียวกับที่ฝรั่งเศส )

เวลามีน้อยเราตกลงใจไม่รอช้า สนนราคา 2 คน 500 บาท สามล้อขับพาเราไปสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องไปอันได้แก่ หอพระแก้ว วัดศรีสะเกษ ทำเนียบประธานประเทศ ประตูชัย ตาดหลวง และ พิพิธภัณฑ์ไกรสอน พรหมวิหาร

( พระธาตุหลวง สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาของเมืองเวียงจันทน์ )

ระหว่างทางเรามีหยุดแวะพักกินเฝอที่สามล้อบอกอร่อยนักหนา ไอ้ผมล่ะอยากกินอย่างอื่นบ้างเพราะมานี่กินเฝอไปหลายมือแล้ว แต่สามล้อบอกคิดไม่ออก ท่าทางเจ้าตัวจะอยากกินเองซะมากกว่า ระหว่างนักกิน ก็มีข้อเสนอพิเศษ สำหรับนักท่องเที่ยวหนุ่มอย่างพวกเราอีกแล้ว

( วิวจากด้านบนประตูชัย )

พี่แกเสนอจะพาสาวมาให้เราดูตัวสัก 3 - 4 คน ถ้าถูกใจก็พาไปไหนต่อไหนได้ ผมได้แต่ถอนหายใจ ว่าอิ่มแล้วล่ะ กินต่อก็ไม่อร่อยแล้ว เวลาก็เหลือไม่มาก อย่างดีกว่า ลืมเสียดีกว่า ที่สำคัญ ตัวเลือกน้อยเกินไปรึเปล่านั่น

( ทำเนียบท่านประธาน ศิลปะจากฝรั่งเศส )

มันคงกลายเป็นค่านิยมที่ล้างไม่ออก กี่ยุคกี่สมัยผมก็ได้ยินมาแบบนี้ สมัยพ่อก็เล่ามาแบบนี้ ว่าไปเที่ยวไหนต้องให้ถึงที่นั่น มีดีมานด์ มันก็มีซัพพลาย มีคนขาย เดี๋ยวก็มีคนซื้อ วนกันไปแบบนี้

( วัดศรีสะเกส มีบางส่วนที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า รอดพ้นจากการเผาทำลายของไทย พี่ไทยหนอพี่ไทยทำน้องลาวได้ )

อากาศเวียงจันทน์ แห้งๆแดดแรงมาก เที่ยวไม่ทันไรก็อยากจะเข้าร่มๆ สามล้อพาเราไปในที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง ที่บางส่วนอาจนึกไม่ถึง นั่นคือ พิพิธภัณฑ์ไกรสอน พรหมวิหาร สร้างขึ้นเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์การสร้างชาติของลาวยุคใหม่ หลังยุคล่าอาณานิคม ผ่านการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส การต่อสู้เรียกร้องเอกราชกับพันธมิตรที่เหนียวแน่นอย่างเวียดนาม เสร็จแล้วก็ต้องมารับมือกับกองทัพสหรัฐอีก

( หอพระแก้ว ยังคงทิ้งร่องรอยของการเผาทำลายไว้ )

ทั้งหมดนี้ประวัติศาสตร์ลาวได้จารึกไว้ว่า บุคคลสำคัญที่สุดที่นำพาประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็คือ ท่านไกรสอน พรหมวิหาร จากผู้นำสู้รบมาเป็นประธานประเทศที่ชาวลาวให้การนับถือสูงสุด ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ มีอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ ผมดูท่าทางการยืนของท่าน รวมทั้งประวัติแล้ว รู้สึกเหมือนถอดแบบมาจากประธานเหมาเจ๋อตุงของจีนยังไงยังงั้น

( พิพิธภัณฑ์ไกรสอน พรหมวิหาร เราใช้เวลากับที่นี่มากที่สุด เหมือนเข้าห้องเรียนประวัติศาสตร์ )

ประเทศแถบนี้ที่ผ่านวิบากกรรมร่วมกันมาอย่าง เวียดนาม ลาว กัมพูชา แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ร่องรอยบางอย่างก็เห็นได้อยู่ บ้านเรือนส่วนใหญ่ยังประดับธง ทั้งธงชาติลาว และธงแดงของขบวนการกู้ชาติ ในวันนี้แต่ละประเทศก็อยู่บนวิถีการพัฒนาแล้ว ผมเซ็งเล็กน้อยที่โดนเพื่อนคนลาวคุยว่าเค้าใช้โทรศัพท์ 3 จีแล้ว ธุรกิจมือถือของที่นี่กำลังโตวันโตคืน อีกไม่นานทุกคนคงมีมือถือใช้อย่างบ้านเรา

( วัดศรีเมือง มีปูนปั้นรูปยักษ์และฤาษีไว้ ให้ถ่ายรูปมั้ง )

อิ่มกับประวัติศาสตร์ลาวที่พิพิธภัณฑ์ก็ล่วงมาจนเกือบบ่ายสามแล้ว เราตัดสินใจจบการทัวร์เวียงจันทน์แต่เพียงเท่านี้ แต่พอสามล้อมาส่งที่ท่ารถกลับไม่มีรถบัสไปหนองคายให้นั่งแล้ว เต็มหมดไปถึง 6 โมงเย็น ถ้าอย่างนั้นอาจไม่ทันรถทัวร์กลับกรุงเทพ

( ช็อตนี้ชอบครับ ฝรั่งถ่ายผม ผมถ่ายฝรั่ง ใจตรงกัน )

สถานการณ์พาให้เราต้องมานั่งรถเมล์กับชาวบ้านชาวลาวอีกแล้ว แน่นเหมือนรถเมล์กรุงเทพ เป็นรถโดยสารไปที่ด่านที่สะพานมิตรภาพ ค่ารถตกคนละ 20 บาท เหมือนถูกแต่ไม่ถูกเพราะต้องไปต่อรถที่สะพานเพื่อข้ามไปฝั่งไทย และเข้าไปท่ารถที่หนองคายอีก แถมมาหลัง 4 โมงเย็นยังต้องเสียค่าล่วงเวลาให้ด่านอีก รวมๆแล้ว เสียร้อยกว่าบาทสำหรับผ่านด่านที่สะพานมิตรภาพ ไปจนถึงท่ารถหนองคาย

( แผนภาพบรรดาผู้นำประเทศของลาว )

ก่อนจะขึ้นรถวีไอพี 24 ที่นั่งกลับกรุงเทพที่เราจองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นับเป็นพาหนะที่ไฮโซที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ เราแวะทานอาหารหน้าเทศบาลเมืองหนองคาย เป็นมื้อสุดท้ายเพื่อจบทริปนี้ ผมกับเพื่อนสองคนย้อนคุยเรื่องต่างๆตั้งแต่วันมา แลกเปลี่ยนความประทับใจต่างๆ จนใกล้เวลารถออกแล้ว

( แม้สาวคนท้ายๆที่ผมมอง ทำไมไม่เจอสวยๆแบบคำลี่บ้างเลย )

5 วัน 6 คืน การเดินทางสุดมันส์ สำหรับช่วงท้ายวัยโสดของเพื่อนผม กำลังจะผ่านไป จากนี้สถานะทางสังคมของเพื่อนคงเปลี่ยนไป ประสบการณ์ดีๆแบบนี้ คงเก็บไปคุยกับกลุ่มเพื่อนๆได้อีกนาน

ขอบคุณที่ติดตามรับชมครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น