วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดิบๆ ที่ลาวเหนือ 4 ...การผจญภัยบนเส้นทางสู่วังเวียง

ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ....

เสียงเคาะประตูห้องผมดังจนต้องสะดุ้งตื่น เสียงเรียกจากภายนอกบอกให้รู้ว่าพวกเราที่เหลือตื่นกันหมดแล้ว ผมดูเวลาอยู่ประมาณตีห้าครึ่ง เรามีเวลาล้างหน้าล้างตาอีกเล็กน้อย ก่อนตามลงไปสบทบกับเพื่อนๆ

( สปีดการเดินบิณฑบาตรเร็วจนชัตเตอร์กล้องสู้ไม่ได้ )

รวมตัวกันครบปุ๊บก็รีบปั่นจักรยานกันไปที่หัวมุมถนนศรีสว่างวงศ์ ถนนสายหลักที่เป็นตลาดมืดยามค่ำคืน และเป็นที่ใส่บาตรข้าวเหนียวตอนเช้า มีแม่ค้าหาบข้าวเหนียว ข้าวต้มมัดมาเร่ขาย ไอ้เราก็นึกว่าไปซื้อที่เค้าตักใส่กระติ๊บใหม่ๆจะดีกว่า แต่ก็เข้าใจผิดเพราะที่ตักใหม่ๆมันร้อนเกิน เวลาปั้นใส่บาตรพระจะเป็นการทรมานตัวเองเปล่าๆ

หกโมงพอดิบพอดี ขบวนพระก็เดินมาเป็นแถวไม่ขาดสาย ได้รับคำเตือนมาแล้วว่าพระจะเดินเร็วมาก ต้องทำให้เร็ว ไม่งั้นขบวนหลังๆมาก็จะติดขัดไปด้วย แต่เพราะข้าวมันร้อนเกินนี่แหละ รีบก็รีบ ร้อนมือก็ร้อน ไหนจะห่วงถ่ายรูปอีก ไม่ควรเลยจริงๆ คราวหลังซื้อกะแม่ค้าที่เร่ขายนั่นแหละดีแล้วเย็นมือหน่อย

( ไข่ลวก กาแฟลาว ปาท่องโก๋ ริมน้ำที่ร้านประชานิยม )

มาอยู่หลวงพระบางสองวันสองคืนแล้ว รู้สึกว่าตัวเองดันไปสัมผัสกับด้านอโคจรมากไปหน่อย จนภาพหลวงพระบางที่เคยคิดไว้ก่อนจะมาแกว่งไปเล็กน้อย แต่มาเช้าวันนี้ภาพศรัทธาก่อนหน้านี้ก็กลับมาชัดอีกครั้ง ถ้าจะมีอะไรที่ตัวเองทำไม่ดีไม่งามเอาไว้ในเมืองหลวงพระบางนี้ ก็ขอต้องขออภัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองไว้ ณ ที่นี้

เพื่อนใหม่ทั้ง 6 ทำภารกิจสำคัญที่สุดเสร็จสิ้นลงแล้ว ช่วงสุดท้ายนี้ เราจะไปร่ำลากันที่ร้านกาแฟ ประชานิยม ที่ว่ากันว่าใครมาหลวงพระบางก็ต้องแวะมากินกาแฟกันที่นี่ คนเยอะสมราคาคุยครับ ที่นั่งถูกจับจองเต็มอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะคนไทยมักจะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดีที่เราได้ที่นั่งริมน้ำอีกแล้ว

กาแฟลาวร้อนๆ ปาท่องโก๋ กับไข่ลวกคนละสองฟอง ฟื้นกำลังความสดชื่นได้ดีนัก เราสนทนากันทั้งเรื่องที่ได้เจอะเจอร่วมกันมาสองสามวันนี้ ลามไปถึงเรื่องในอดีตที่ผู้ชายมันจะเอามาเผากันในหมู่เพื่อน จนเกือบแปดโมงเช้า จวนจะใกล้เวลาที่รถจะมารับผมกับเพื่อนไปวังเวียงแล้ว คำร่ำลาไม่มี มีแต่คำว่าเราคงจะต้องได้เจอกันอีกแน่

( รถตู้เจ้าปัญหา พาเรามาเจอปาฎิหารย์ )

รถตู้ไปวังเวียงมารับผมกับเพื่อนถึงที่พัก เพื่อไปเปลี่ยนรถอีกทีที่ท่ารถ สภาพรถเก่ามาก นึกหวั่นอยู่ว่าถ้าต้องขึ้นเขาลงเขาชันๆ โค้งเยอะสภาพนี้จะไหวหรือ แต่ก็เชื่อใจคนขับแหละครับ สภาพรถหรือจะสู้ฝีมีอคน

รถเราเต็มไปด้วยฝรั่งๆๆๆ อีกแล้ว ผมก็เป็นโรคเดียวกับคนไทยส่วนใหญ่คือ ภาษาอังกฤษน่ะพอได้แต่ไม่จำเป็นจริงๆ ไม่มีทางจะคุยด้วยซะหรอก ผิดกับเพื่อนผมที่ทำงานกับฝรั่งอยู่แล้ว เดินทางมาจนวันที่ 4 แล้ว ไม่มีวันไหนที่มันจะไม่พูดกับฝรั่ง ยิ่งเป็นฝรั่งสวยๆ นี่ยิ่งพรั่งพรู บนรถนี้มันก็เริ่มปฎิบัติการเป็น The Talking Machine อีกครั้ง

( เด็กชาวม้งลูกเจ้าของร้าน ทำให้ผมยิ้มได้ระหว่างรอ )

มีพระรูปหนึ่งโดยสารมากับเราด้วย แว๊บแรกผมก็คิดว่าเป็นพระลาว พอได้คุยก็เลยรู้ว่าเป็นพระไทย ( ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าพฤติกรรมของพระสงฆ์แบบนี้เหมาะสมหรือไม่ ผู้อ่านใช้วิจารณญาณด้วยครับ ) ท่านบอกว่าอยู่วัดแถวนนทบุรี เดินทางมาเที่ยวลาวหลายวันแล้ว และก่อนหน้านี้ก็เคยมาลาวเป็นสิบครั้งได้แล้ว รู้ทะลุปรุโปร่งหมดเรื่องประเทศลาว จากนั่นก็ต่างคนต่างนั่งไปพักหนึ่ง

( ถ่ายจังๆกลัวไม่หล่อ เอากล้องมาบังไว้ บนสามล้อเข้าที่พักวังเวียง )

เพื่อนผมก็คุยกับฝรั่งไป นั่นเป็นความสุขของเค้า ส่วนผมก็ของคุยกับต้นไม้และขุนเขา ให้ลมเย็นๆมาปะทะใบหน้า เคยไปที่ปายเมื่อต้นปี อารมณ์คล้ายๆกัน แต่ความคดเคี้ยวที่นี่น้อยกว่า ออกจะเย็นชื้นกว่าด้วยเพราะป่าที่นี่รถทึบกว่าบ้านเรา บางจุดมองไปอย่างกับอยู่ในยุคจูราสิคปาร์ค มีเถาวัลย์พันยั้วเยี้ยไปหมด ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจับพวกเรามาแช่ตู้เย็นเอาไว้

( ที่พักหรูไม่ใช่เล่นๆ 500 บาท )

ขับไปได้ประมาณ 3 ชั่วโมง ครึ่งทางเห็นจะได้ เกิดอาการที่รถ เสียงดังครืดคราด คนขับตะโกนบอกพวกเราว่า ไปไม่ได้แล้ว ต้องจอด ซึ่งก็มีที่จอดพักอยู่ใกล้ๆตรงนั้นเป็นเพิงร้านอาหารเล็กๆ มีชาวม้งเป็นเจ้าของ คนขับพยามยามอธิบายให้ฟังว่าอาจจะเป็นคลัชที่เสีย ต้องจอดรอรถคันใหม่จากหลวงพระบางมาเปลี่ยน นั่นคือต้องรออีก 3 ชั่วโมง เพื่อนผมคอยแปลให้ฝรั่งที่เหลือได้ทราบ เล่นเอาอึ้งกันทั้งรถ

( ดึกๆ ที่นี่มีปาร์ตี้ เห็นจากร่องรอยขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ไม่เมาไม่เลิกแน่ๆ )

จากนั้นก็มีเสียงบ่นจากทั้งฝรั่งและพี่ไทยอย่างเรา ต้องรอแบบนี้แผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวจะผิดไปหมด ระหว่างที่ไม่รู้จะเอาไงดี ก็เหมือนมีเหตุการณ์สมรู้ร่วมคิดเกิดขึ้น คือเจ้าของร้านอาหารชาวม้ง ก็เสนอตัวว่ามีรถพร้อมจะรับนักท่องเที่ยวไปต่อ

เหมือนจะดีใจนะครับ แต่ถ้าคิดดูดีๆ มันจะไม่บังเอิญไปหรือ ที่อยู่ๆ ก็มาเสียเอาที่นี่ แล้วชาวม้งที่มีเพียงเพิงพักเก่าๆ จะมีรถตู้ใหม่เอี่ยม ( ใหม่กว่าคนที่มาคนละเรื่องเลย ) สแตนบายไว้อยู่แล้ว และแน่นอนถ้าจะไปต่อกับคันใหม่นี้ ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

( กิจกรรมเด่น คะยักบนแม่น้ำซอง )

เสียงบ่นดังขึ้นอีก เรื่องแบบนี้ฝรั่งคิดได้อยู่แล้วว่าเป็นการปล้นกันชัดๆ คนขับก็ว่าจะไปคันเก่านี่ก็ได้นะ แต่อาจจะไม่ปลอดภัยนะ แต่ไม่ทันที่เรื่องจะใหญ่โตไปกว่านี้ ก็ให้เกิดปาฎิหารย์กับพวกเราอีกครั้งคือพระไทยที่มากับเรานั้น เสนอที่จะเหมารถคันนั้นเอง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดท่านออกเอง และจะเมตตาให้พวกเราทั้งหมดไปพร้อมกันกับท่านด้วย

ดีใจ โล่งใจ และก็ปนความสงสัยเคลือบแคลง เหตุการณ์แรกที่รถมาเสียและดันมีรถใหม่มารอรับนั้นค่อนข้างมั่นใจอยู่ว่าปล้นกันชัดๆ แต่เหตุการณ์สองนี้ มันท้าทายความคิดเรื่องศรัทธาต่อศาสนาพุทธที่ผมมีก่อนหน้านี้อยู่แล้ว

( ถนนหลักเมืองวังเวียง ดูคล้ายถนนตามแหล่งท่องเที่ยวของไทย )

มาตรฐานชาวพุทธส่วนใหญ่ ก็คงต้องมองว่าการที่พระออกเที่ยวแบบนี้มันผิด มันไม่ควร ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ในสมัยพุทธกาล พระอริยสงฆ์ รวมทั้งพระพุทธเจ้าเองก็ออกเดินทางไปยังหลายๆเมือง หากแต่การเดินทางนั้นก็คงต้องพิจารณาอีกว่า ท่านปฎิบัติตนอย่างไร สร้างคุณงามความดีอะไรหรือไม่ หรือว่าเที่ยวอย่างเดียว

ถ้าเหตุการณ์ที่สองไม่ได้เป็นการสมรู้ร่วมคิดแล้ว การที่พระไทยรูปนี้ โปรดสัตว์น้อยตาดำๆอย่างพวกเรา ไม่ให้ต้องไปเสี่ยงอันตรายกับรถตู้เก่าๆคันนั้นอีก แม้จะใช้เงินทำบุญจากญาติโยม ก็ไม่น่าจะผิดบาปอะไร กลับยังเป็นสร้างบุญกุศลอีกต่างหาก อันนี้ผมพยายามมองโลกในแง่ดีสุดๆแล้วนะ

( มุมนี้สุดยอดอีกแล้ว แต่บ่มีปัญญากินร้านนี้นะ )

สำหรับชาวม้งคนนี้ผมก็คงไม่ถือโทษโกรธอะไร เพราะความลำบากยากจนคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องทำแบบนี้ ยิ่งเห็นลูกเล็กๆ อีกสองคนที่สุดแสนจะน่ารักไร้เดียงสา ที่ผมหยอกล้อเล่นตอนที่รอเคลียร์เรื่องกันอยู่นั้น ยิ่งโกรธไม่ลง ก็ขอให้นำรายได้เหล่านี้เลี้ยงลูกๆให้ดีแล้วกัน

สำหรับชาวลาวที่เจตนาขับรถเก่าๆพาพวกเราขึ้นมา เจตนาจะมาให้เสียตรงจุดนี้ แถมยังใช้ถ้อยคำไม่ดีเพียงเพื่อให้พวกเราเลือกที่จะจ่ายเงินเพิ่ม เป็นคนลาวคนแรกและคนเดียวที่ผมเห็นนิสัยร้ายๆแบบนี้ เรียกว่าเป็นมือใหม่หัดร้ายก็ว่าได้ เพราะไม่เนียน ไร้ศิลปะในการหลอกลวง เทียบกับบ้านเราไม่ติด เพราะบ้านเราเวลาจะหลอกใคร เนียนกว่านี้ได้อีกเยอะ

( ที่พัก และร้านอาหารที่เกาะกลางแม่น้ำซอง )

ว่าแล้วก็อย่าไปคิดอะไรมาก ผมและเพื่อน บอกให้ฝรั่งเข้าใจถึงเหตุการณ์และก็รับสภาพกันไป เพียงแค่กราบขอบคุณท่านแล้วก็ขึ้นรถไปต่อ ขอบอกว่ารถใหม่มาก มีจอแอลซีดี วิทยุสเตอริโอพร้อมสรรพ ตัวผมกลายว่าต้องมานั่งอยู่หน้าสุดติดกับพระท่าน เพราะเป็นผู้ชายตัวเล็กที่สุดในรถแล้ว เกร็งซะไม่มี ข้างๆก็เป็นพระผู้มีพระคุณก็อยากให้ท่านนั่งสบาย อีกข้างก็เป็นคันเกียร์เผลอหลับไปโดนเกียร์จะยุ่ง

เส้นทางเหมือนจะยาวไกลซะเหลือเกิน เพราะนั่งไม่สบาย แต่พอใกล้จะเข้าวังเวียง ทัศนียภาพรอบๆ ก็ทำผมอึ้ง ตื่นเต้นจนลืมเมื่อย เพราะสองข้างเป็นเขาสูง ป่าทึบเขียวจัด ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า สลับบ้านชาวเขาที่ตั้งอยู่เชิงเขาประปราย ผ่านเมืองใหญ่อย่างกาสี ก็จะเข้าสู่วังเวียง

( ภาพนี้ส่งประกวดครับ )

20 กิโลเมตรก่อนถึงวังเวียง เป็นภาพจำที่ผมจะไม่มีวันลืม ถนนเส้นเล็กที่คนขับบอกว่าเป็นเส้นหลักเส้นเดียวทางสายเหนือ ใครลงใต้ก็ต้องใช้เส้นนี้ ยิ่งดูแคบลงไปอีก ในขณะที่เราลงเนินแล้วทั้งเบื้องหน้าและด้านข้างต่างก็เป็นเขาสูงโอบล้อม ดูตัวเราช่างเล็กยิ่งนัก และนั่นก็เป็นความจริงเสมอ ว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กมากๆ ของธรรมชาติรอบตัวเรา

รถขับบนถนนแหวกขุนเขา เข้าเมืองวังเวียง เราเห็นแนวเขาสูงอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบื้องล่างเป็นลำน้ำซอง ที่ยังใสสะอาด รถจอดให้เราลงในตัวเมือง เราต้องนั่งสามล้อเข้าไปที่พัก ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ริมน้ำ สนนราคามีให้เลือกหลายระดับ หรูๆหลักพันก็มี ส่วนเราขอบังกโลสวยๆ ราคา 500 บาท ในคืนสุดท้ายที่ลาว

เวลาเหลืออีกไม่มากก่อนพระอาทิตย์จะตก เราใช้เวลาที่เหลือนี้เดินลัดเลาะตามริมน้ำ เก็บภาพสวยๆ ตามลำน้ำซอง ไม่มีเวลาพอที่จะเล่นกีฬาทางน้ำที่เป็นที่นิยมที่นี่ เช่นพายเรือคะยัก นั่งเรือเที่ยว หรือ นั่งห่วงยางที่ปล่อยจากต้นน้ำลงมา กิจกรรมเหล่านี้ ถ้ามีโอกาสมาอีกคราวหน้าคงไม่พลาด

เราหาที่นั่งทานอาหารเย็นวิวสวยๆได้ที่เกาะกลางแม่น้ำซอง บรรยากาศตอนพระอาทิตย์ตกดีมากแต่พอมืดแล้ว ยุงและแมลงต่างๆก็มาเบียดเบียนจนนั่งไม่ชิลอีกแล้ว เพิ่งเจอยุงที่ลาวก็ตอนนี้ อยู่หลวงพระบางไม่เห็นมียุงซักตัว เรานั่งอีกสักพักก็เลยเปลี่ยนมาเดินเล่นบนฝั่งดีกว่า

เพื่อนซี้ตัวดี ออกอาการงอแง ไม่อยากกลับซะแล้ว พยายามโน้มน้าวผมครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้อยู่ต่ออีกคืน เพื่อนตัวดีคนนี้ ทีแรกอยู่หลวงพระบางถึงเวลาต้องมาวังเวียงก็อิดออดทีนึงแล้ว พอมาวังเวียงก็ดันติดใจวังเวียงอีก ช่างใจง่ายจริงๆ ก่อนจะมาลาวผมก็บอกแล้วว่า 5 วันมันน้อยไป แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่รอให้เบื่อแล้วค่อยจาก จากไปตอนอารมณ์ชอบสุดๆแบบนี้แหละ จะได้คิดถึงกัน

ผมขอตัวกลับมานอนพักที่ห้องก่อนเพราะไม่ค่อยชอบแสงสีในเมืองสไตล์บาร์เบียร์พัทยาเท่าไร ปล่อยให้เพื่อนลุยเดี่ยวหาฝรั่งคุยด้วยต่อไป นอนเอาแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้วันสุดท้ายที่ลาวดีกว่า

ฝันดีนะ วังเวียงที่รัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น