วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดิบๆที่ลาวเหนือ 2 ... จำไว้เลย ดาวฟ้าหลวงพระบาง

ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะตื่นขึ้นมา ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากริมฝั่งโขง แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง เลยเวลามาจนเกือบเจ็ดโมงเช้า พระอาทิตย์ขึ้นคงไม่ได้เห็นแล้ว แต่ยังอยากเห็นภาพชีวิตคนเมืองปากแบง ที่ยังคงความเป็นชนบทแท้ๆ แม้รายทางจะมีเฮือนพัก ร้านอาหาร เรียงรายไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังคงวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไว้

( ภาพริมฝั่งโขงยามเช้า บรรยากาศเหนือคำบรรยาย )

ผมเดินเก็บภาพผู้คน และทิวทัศน์ จนได้เจอตำแหน่งเหมาะๆ เป็นเพิงเล็กๆ ยื่นออกไปจากเนินเขาเล็กๆ เบื้องหน้าของผมเป็นจุดที่แม่น้ำโขงแผ่กว้างจนดูคล้ายเป็นทะเลสาบ มีเขาขนาดย่อมๆขนาบไว้สองข้าง เบื้องบนเป็นสายหมอกขาวๆ ที่ดูแล้วเหมือนจะลอยลงต่ำมาเรื่อยๆจนแทบจะเอามือคว้าไว้ได้

( กาแฟลาวร้อนๆ ในร้านกาแฟริมน้ำ )

อิ่มกับบรรยากาศที่ยากจะบรรยายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะหาอะไรให้ท้องอิ่ม ผมกลับไปปลุกเพื่อนที่ที่พักอีกครั้ง แล้วออกมาชิมอาหารแนวอาหารเช้าฝรั่ง ร้านตั้งอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดีๆแบบนี้ กับ อเมริกันเบรคฟาสต์ กาแฟลาว ตบด้วยพิซซ่าปลาทูน่า และกล้วยปั่น แทบไม่อยากลุกไปไหนอีกเลย

( ตามด้วยพิซซ่าปลาทูน่า อาหารฝรั่งฝีมือคนลาว อร่อยอย่าบอกใคร )

9 โมง กว่าๆ ได้เวลาที่เรือจะออกจากท่าอีกครั้ง เพื่อมุ่งตรงไปจุดหมายคือหลวงพระบาง เรือวันนี้เป็นคนละลำกับเมื่อวาน เล็กกว่าเมื่อวานหลาย กว่าผมจะเดินขึ้นมาบนเรือที่นั่งปกติก็ถูกฝรั่งจับจองเต็มหมดแล้ว ตาเหลือบไปเห็นท้ายเรือที่เป็นส่วนพักผ่อนของคนเรือ และห้องเครื่อง เห็นเพื่อนคนไทยที่เจอเมื่อวานนี้ ที่เราคิดว่าคงจะแยกทางกันไปแล้ว แต่ไหนวันนี้ดันมาลงเรือลำเดียวกันอีกจนได้

ยังไม่ทันได้ถามไถ่ เบียร์ลาวแก้วแรก ก็ถูกยื่นใส่มือเข้าให้ จากนั้นก็ได้ความว่า เพื่อนใหม่กลุ่มนี้ เปลี่ยนใจ มาลงเรือต่อไปหลวงพระบางเหมือนพวกเราแล้ว ได้เรื่องล่ะครับ วันที่สองย่อมสนิทกว่าวันแรกสองเท่าเช่นกัน ฟ้าลิขิตให้เราและเพื่อนใหม่กลุ่มนี้ต้องมาใช้ชิวิตตะลุยลาวด้วยกันแบบนี้ มันต้องฉลองครับ เผลอแป๊บเดียวก็ได้ภาพอย่างที่เห็น

( เบยลาวรอไว้แล้วตั้งแต่ขึ้นเรือ ศีลแตกก็วันนี้ )

คนเยอะจนแน่น แถมเรือวันนี้ยังนั่งตามกาบเรือไม่ถนัดเหมือนเมื่อวานอีก ผมต้องกระเด็นมาอยู่ท้ายสุดของเรือ ที่เป็นส่วนของห้องครัว สำรวจห้องครัวคนเรือแล้ว ข้าวของส่วนใหญ่ก็น่าจะซื้อมาจากฝั่งไทยทั้งนั้น ไม่แปลกที่คนลาวชอบใช้เงินไทยจนรัฐต้องออกมารณรงค์ให้ใช้เงินลาว เพราะได้เงินไทยมาข้ามมาซื้อของไทย ไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้ยุ่งยาก แต่เรื่องแบบนี้ทางผู้ปกครองก็คงอยากให้คนชาตินิยมกันบ้าง

( เบื้องหน้าผมบนเรือวันที่สอง คนแน่นจนต้องกระเด็นมาอยู่ท้ายเรือ )

มองไปมองมาผมสังเกตเห็นกล่องกระดาษกล่องหนึ่ง ปิดไว้แต่เจาะรูไว้ด้านบน ขยับไปมาได้ เหมือนมีตัวอะไรอยู่ข้างใน เลยถามคนลาวที่นั่นอยู่ข้างๆกัน ก็เลยรู้ว่า ข้างในเป็นไก่ชนของเค้าเอง มีในกล่องถึง 2 ตัว ผมดูแล้วยังไงก็ไม่น่าจะยัดเข้าไปได้ คงจะอึดอัดน่าดู แต่เจ้าของก็บอกเองว่าไม่เป็นไร ไก่พวกนี้แข็งแรงอยู่แล้ว และถ้าโชคดีเลี้ยงจนตีเก่ง ชนชนะสักครั้ง ก็ได้เงินนับหมื่นบาท สนามก็อยู่ที่หลวงพระบางที่ที่เราจะไปนั่นเอง

( ด้านหน้าเรือเป็นที่ของฝรั่งไป ด้านหลังเรือก็เป็นพี่ไทยกะน้องลาวกันไป )

ไถ่ถามเรื่องไก่เลยไปจนถึงเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ของคนลาว รวมไปถึงการอ่านภาษาลาวอย่างง่าย หนุ่มคนนี้เรียกได้ว่ามีความรู้ดีคนหนึ่ง เพราะด้วยว่าทำงานอยู่หน่วยการศึกษานอกโรงเรียนที่หลวงพระบาง มาปากแบงเป็นประจำเพราะต้องมาหาคู่หมั้นที่ทำงานอยู่ที่นั่น และมีแผนที่จะแต่งงานกันปีหน้านี้แล้ว

( โขงชิลๆ วันที่สอง บรรยากาสครึ้มฝนส่งท้ายปลายฝนต้นหนาว )

เรื่องของคนลาวกับคนไทยนั้น นอกจากคนลาวจะใช้เงินไทย ฟังภาษาไทยรู้เรื่องเกือบหมดเพราะดูทีวีไทย ละครไทย ข่าวไทย ฟังเพลงไทย รวมไปถึงเกาหลี อย่างที่คนไทยนิยมกัน ดูเคเบิ้ลทีวีที่รับทรูวิชั่นได้ทุกช่องแบบไม่ต้องกลัวฝนตก ผมได้ลองถามเรื่องลึกๆอย่างเช่นอยากให้ลาวเจริญเหมือนไทยไหม อยากมีห้าง มีโรงหนัง มีความเจริญทางวัตถุที่ได้เห็นในทีวีบ้างไหม คำตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า มันสะท้อนให้เห็นว่าเค้าก็อยากจะมีเหมือนอย่างเรา แม้จะรู้ดีอีกเช่นกันว่าสิ่งเหล่านี้อาจสวนทางกับความเจริญทางจิตใจ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมต้องข้ามฝั่งโขง มาสัมผัสความบริสุทธิทั้งจากธรรมชาติ และจิตใจของผู้คนแบบนี้

ตลอดการเดินทางบนเรือวันที่สองนี้ ความเป็นกันเองมีมากขึ้นจากเมื่อวาน ทั้งไทย ลาว ฝรั่ง ต่างพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็เฮฮากันไป ใกล้ถึงเวลาที่ตะวันจะตกดินอีกครั้ง เรือก็เข้าจอดที่ท่าหลวงพระบาง ผมและเพื่อน พร้อมทั้งเพื่อนใหม่ รวม 6 คน ตกลงที่จะพักที่เดียวกัน หลังจากได้รับการเสนอราคาจากตัวแทนที่พักตั้งแต่ขึ้นฝั่ง ในราคาเพียง 240 บาทต่อคือ ห้องน้ำในตัว แต่ดูจากแผนที่แล้วคงต้องเดินกันอีกไกล พวกเราตัดสินใจเดินกันไป เพราะจะได้ดูที่พักตามทางด้วย เผื่อจะมีที่ไหนที่เด็ดกว่า

แต่จนแล้วจนเล่า ผ่านที่พักสวยๆ บริเวณใกล้ถนนคนเดินก็แพงนักหนา ยิ่งเดินออกมาไกลจากถนนคนเดิน หลวงพระบางยามค่ำคืนก็ยังคงเหมือนต่างจังหวัดของไทยทั่วไปที่ไร้แสงสี ยิ่งเดินไกลใจก็เริ่มหวั่น เกือบจะยอมพักที่แพงกว่าอยู่อีกหลายครั้ง แต่ก่อนจะหมดแรง ก็เห็นป้ายอยู่ไกลๆ นั่นไงเจอแล้ว เฮือนพักมะนิวัน ไกลที่สุดในบรรดาเฮือนพักแล้วล่ะมั้ง

( ที่ตลาดมืดมีบูทจัดวางอย่างดีคอยรับนักท่องเที่ยว ตอนเช้าที่นี่จะเป็นถนนสายหลักของเมือง

รวมทั้งเป็นจุดหลักที่พระจะมาบิณฑบาตร )

ไม่อาจเปลี่ยนใจได้แล้ว เดินมาไกลขนาดนี้ เจ้าของรีบตรงมาต้อนรับ สถานที่ยังดูใหม่เหมือนเพิ่งเปิดไม่นานนัก เราทั้งหกแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของ พร้อมกับนัดกันว่าจะออกมากินข้าวด้วยกัน แล้วค่อยไปเดินตลาดมืดที่ถนนคนเดิน

ว่ากันที่ถนนคนเดิน ก่อนหน้านี้ผมได้ดูรายการท่องเที่ยวทางทีวีมาบ้าง นึกภาพไปได้อย่างหนึ่ง คือน่าจะคล้ายไปทางถนนคนเดินที่ปาย หรือเชียงใหม่ แต่พอมาเดินเข้าจริง ผมว่าเสน่ห์บางอย่างมันขาดหายไป ของที่ขายแม้จะมีจำนวนร้านมากมาย มีเต้นท์สวยๆใหม่กางไว้อย่างงานออกบูท แต่สินค้ากลับไม่หลากหลาย ผ้าสิ้นผ้าไหม แล้วก็กระเป๋าผ้า ดูเหมือนกันแทบทุกร้าน

( เสื้อที่ระลึกแบบนี้ กลายเป็นของสำคัญที่ขาดไม่ได้ )

และที่ขาดไม่ได้ก็คงเป็นเสื้อสะบายดี เสื้อเบยลาว ที่ผมไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากนัก และที่อยากให้มีเยอะๆกลับไม่เยอะนั่นคืออาหารการกินแบบลาวแท้ๆ ถูกจัดไปรวมอยู่ในซอยเล็กทางเข้าถนนคนเดิน ซอยเล็กๆซอยนี้จึงอัดแน่น ไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งฝรั่งมีมากพอๆกัน ผมว่าส่วนใหญ่ก็คงชอบเรื่องอาหารการกินแบบผมนี่แหละ ถ้าทางลาวมาเห็นความรู้สึกที่ผมเขียนอยู่นี้ก็ขอว่าอยากให้มีอาหารขายมากๆ เชื่อว่านักท่องเที่ยวที่ไหนก็ชอบครับ

( กาแฟลาว ปลูกในลาวแต่ไปคั่วบดเมืองนอก )

ที่เขียนมาอาจเป็นความรู้สึกส่วนตัวผมแค่นั้น ใครที่ไปมาแล้วคิดเห็นอย่างไรก็บอกกันได้ครับ ใครที่ยังไม่ไป ก็ต้องลองไปดูครับ อย่าเพิ่งเชื่อจากความรู้สึกผมคนเดียว แต่ทั้งหกคนที่ร่วมทางกับผมก็เหมือนจะใจตรงกัน เดินตลาดมืดวนไปมาได้ซักสองรอบก็เริ่มอยากจะเคลื่อนย้ายกันแล้ว และว่าค่อยมาซื้อตอนคืนวันก่อนกลับดีกว่า

ก่อนออกมา เราได้รับคำแนะนำว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความบันเทิงยามค่ำคืนแล้ว ต้องไปที่ " เมืองซัว " เป็นที่เต้นรำของคนลาว ซึ่งผมเองก็เคยเห็นรายการไทยมาถ่ายทำอยู่บ้างก็อยากมาสัมผัสของจริงที่นี่ คนลาวเต้นนับสิบๆคนบนฟอร์เต้นได้พร้อมเพรียงกันจริงหรือเปล่า ส่วนอีกที่เป็นที่สำหรับหนุ่มๆ ที่ห้ามพลาด นั่นคือผับดับอันดับหนึ่งของหลวงพระบางที่ชื่อว่า " ดาวฟ้า " แหม ... ฟังชื่อก็อยากเข้าไปดูให้เห็นกับตาแล้วครับ

( บั๊กเก็ตอีกแล้ว อยากกินอาหารลาวแท้ๆมากกว่านี้ )

แต่ต้องขอบอกไว้หน่อยสำหรับผู้ที่เป็นห่วงว่า มรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่างหลวงพระบางนี้ มีสถานที่แบบนี้ด้วยหรือ จากคำบอกเล่าของเจ้าของเฮือนพัก บอกว่า ผับเหล่านี้อยู่นอกเขตมรดกไปแล้ว ส่วนที่อยู่ในเขตมรดกนั้น แม้แต่จะดัดแปลงบ้านยังต้องขออนุญาตก่อนเลย ฟังดังนี้แล้วผมก็เบาใจ เพราะอยากให้ที่ที่สงบทั้งธรรมชาติและทางใจนี้อยู่คู่เมืองลาวตลอดไป แม้จะไม่ใช้คนลาวก็เถอะ

หลังจากตกลงกับสามล้อสกายแล็บเรียบร้อยแล้ว พี่สามล้อเสนอพวกเราว่าจะพาไปเที่ยวทั้งเมืองซัว จอดรอ และจะพาไปต่อที่ดาวฟ้า จนรอรับกลับที่พัก สนนราคา 400 บาท ให้ใจกันแบบนี้มีหรือจะปฎิเสธ พวกเราโดดขึ้นท้ายรถ แล้วเบยลาวร่วมสาบานก็ถูกวนรอบ สมานมิตรใหม่ให้เข้ากันยิ่งขึ้นไปอีก

( ผ้าสิ้นที่นี่ ดูคล้ายกันไปหมด คงเป็นเพราะผมดูไม่ออกเองซะมากกว่า )

มาถึงที่เมืองซัว ก็อึ้งไปพักหนึ่ง คือน่าจะยังเช้าอยู่ เรามาก่อนนักดนตรีด้วยซ้ำ ภายในร้านเหมือนคาเฟ่เก่าๆ เก้าอี้โซฟาสีดำสูงๆ ไฟสลัวๆ เหมือนมาเที่ยวย้อนยุคไปเมื่อ 30 ปีก่อน อึ้งไปก็เสียเวลาเปล่า คืนนี้เรามาเพื่อสัมผัสว่าคนลาวมีความบันเทิงอย่างไรไม่ใช่หรือ เบยลาวอีก 6 ขวดจึงประเคนแจกจ่ายลงแก้ว

สักครึ่งชั่วโมงต่อมา นักดนตรีเริ่มบรรเลง นักร้องสาวลาวขึ้นร้องขับกล่อม เพลงแรกยังดูนิ่งๆ แต่เมื่อเพลงสองเพลงสามตามมาเริ่มมีผู้กล้ามาเปิดฟลอร์ เท่านั้นแหละ ทั้งหนุ่ม ทั้งสาว ทั้งผุ้ใหญ่ ทั้งผู้อาวุโส ก็ลุกจากโต๊ะ มาที่กลางฟลอร์ เต้นอย่างพร้อมเพรียงกัน อะเมซิ่งจริงๆครับ พวกเราอดรนทนไม่ได้แล้ว บรรยากาสแล้วจะไม่เร้าร้อนอย่างอาร์ซีเอ แต่ดนตรีวอลซ์ ร็อคแอนด์โรล แทงโก้ โบราณๆ ก็ทำให้สถานที่นี้ดูสนุกสนานครื้นเครงได้ อันนี้ผมขอการันตีครับ หากใครได้ไปลาวก็อย่างพลาดสถานบันเทิงแนวนี้

( ซอยนี้ขายอาหารล้วนๆ คนแน่นเป็นพิเศษ )

เต้นไปเต้นมาได้เหงื่อหลายทีเดียว สนุกแบบคาดไม่ถึงจริงๆ แต่ก็ได้เวลาที่เราจะเคลื่อนย้ายอีกครั้ง เพราะเป้าหมายของหนุ่มๆรออยู่นั่นคือผับ ดาวฟ้า ถ้ามีแค่ผมกับเพื่อนสองคนคงไม่คึกได้ขนาดนี้ แต่เพราะได้เจอคอเดียวกัน รวมเป็น 6 มันก็คึกคะนองได้อย่างกับย้อนเวลาไปเป็นวัยรุ่นยี่สิบต้นๆอีกครั้ง

เบื้องแรกที่ได้เห็นดาวฟ้า ผมนึกถึงผับตามหัวเมืองต่างจังหวัดบ้านเรา โต๊ะทำจากถังลายเบยลาว ผมรู้สึกว่าที่ลาวนี่ จะไปทางไหนก็หนีเบยลาวไม่พ้นจริงๆ คนไม่มากนักอาจเป็นเพราะเป็นคืนวันอังคาร สายตาพวกเราสอดส่ายบรรยากาสและคนที่มาเที่ยว เราก็เริ่มสังเกตเห็นกลุ่มสาวๆ ที่เจ้าของเฮือนพักของเราบอกเอาไว้ อยู่หลายโต๊ะ ดูจากการแต่งตัวแล้ว ไม่น่าพลาดครับ ต้องใช่แน่ๆ

( บรรยากาศสบายๆ สไตล์ถนนคนเดิน )

ความคึกคะนองของหนุ่มทั้งหก ก็แซวกันมาตั้งแต่อยู่บนรถแล้วว่า มาหลวงพระบางต้องให้ถึงหลวงพระบางนะ ผมเองต้องออกตัวตรงนี้ว่า ไม่ได้มีเรื่องนี้อยู่ในหัวตั้งแต่ก่อนมาเลย ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาทั้งสิ้น แม้แต่ในค่ำคืนในผับดาวฟ้าที่เราอยู่กันตอนนั้น ผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่คืนวาน สภาพก็แย่อยู่ เพราะนั่งเรือมาทั้งวัน แถมชุดที่ใส่ก็เป็นชุดเก่าที่สุดในตู้ ที่กะว่าใส่เสร็จแล้วก็จะทิ้งไว้ที่หลวงพระบางเลย สภาพแย่มาก ไม่เหมาะกับเรื่องอย่างว่าด้วยประการทั้งปวง

แต่เรื่องบังเอิญมันก็เกิดขึ้นจนได้ โต๊ะข้างๆกันก็เป็นสาวลาว ซึ่งผมเองก็ไม่กล้าฟันธงว่าเธอทำอาชีพอะไร เพราะไม่ได้ถาม แต่ว่าเราก็ได้คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กัน ก็กะไว้แค่นั้น จริงๆนะครับ ... สาบานนน

คุยไปคุยมา บวกกับฤทธิ์เบยลาว ความสนุกคละเคล้ากับเสียงเพลง กลายเป็นว่า ผมกับน้องเค้ากลับมาที่เฮือนพักได้ไงกันล่ะเนี่ย เอาไงล่ะทีนี้ แล้วพรุ่งนี้จะต้องตื่นไปใส่บาตรเช้าอีก

เอาไง เอาไง เอาบ่ดี เอาดีบ่ แล้วเสียงก็ค่อยๆเงียบไปหลังปิดประตูห้อง

จำไว้เลย ดาวฟ้า หลวงพระบาง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น