วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดิบๆ ที่ลาวเหนือ 1 ... สะบายดีปากแบง

ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพระบางมาเนิ่นนานแล้ว ความเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ชาวลาวภาคภูมิใจ ความเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่ายังมีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการใส่บาตรข้าวเหนียว ที่ถือเป็นภาพจำของเมืองนี้ก็ว่าได้

( ริมน้ำโขงฝั่งลาว ที่ห้วยทราย กับเรือที่เราจะล่องกันในวันนี้ )

หลังจากที่นัดแนะกับเพื่อนซี้ร่วมเดินทางกันแล้ว ว่าเราจะเดินทางไปหลวงพระบางด้วยเส้นทางที่โหดพอตัวด้วยเส้นทางเรือล่องแม่น้ำโขงจากด่านเชียงของ จ. เชียงราย แว๊บแรกคิดจะไปด้วยเครื่องบินเหมือนกัน แต่ดูราคาตั๋วแล้วขอบายดีกว่า และจริงๆแล้ว การใช้เวลาสัมผัสกับการเดินทางแบบนี้ก็ สำคัญไม่แพ้การสัมผัสเมืองหลวงพระบางอันเป็นจุดหมายปลายทาง

( บรรยากาศ สองข้างทาง บนเรือ บอกสั้นๆคำเดียวครับ สุดยอดดดด )

เรานัดกันที่ขนส่งหมอชิต ในค่ำวันอาทิตย์เพื่อที่จะขึ้นรถไป อ.เชียงของ ใช้เวลาข้ามคืนเกือบ 12 ชั่วโมงเต็ม เราก็มาถึงตัวเมือง ที่ดูแล้วก็ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวย่อมได้อยู่เหมือนกัน ส่วนหนึ่งก็คงทำไว้รองรับผู้ที่จะเดินทางล่องน้ำโขงอย่างพวกผมนี้ แต่ด้วยเวลาอันจำกัด จึงต้องขอผ่านเชียงของไปก่อน โอกาสหน้าคงได้มีเวลามาสัมผัสกับเมืองนี้นานๆ

( บั๊กเก๊ต หรือข้าวจี่ อาหารที่พบได้บ่อยกว่าส้มตำลาว มากพอๆกับเฝอ )

นั่งสามล้อไปยังจุดผ่านแดน ถ้ามีพาสปอร์ตก็ไม่ต้องห่วงอะไร ผ่านสะดวกใช้เวลาไม่นานนัก จากฝั่งไทยนั่งเรือข้ามฟากไป จุดผ่านแดนฝั่งลาวที่ห้วยทราย จัดการแลกเงินกีบติดตัวไว้คนละ 2 พันบาท จริงๆแล้ว หากใครขี้เกียจปวดหัวกับหน่วยอันมหาศาลจะไม่แลกเลยก็ได้ เพราะคนลาวรับเงินไทยทั่วประเทศ แต่มักจะโดนอัตรา 1 บาท ต่อ 250 กีบ แทนที่จะได้ 1 บาท ต่อ 268 กีบ อย่างที่เราแลกได้วันนี้

( พลบค่ำที่ปากแบง เราขึ้นมาหาที่พักก่อนนั่งเรือต่ออีกครึ่งทางในวันพรุ่งนี้ )

ที่ฝั่งลาวนี้ เราจะเห็นตัวแทนทัวร์อยู่หลายแห่ง เส้นทางล่องน้ำโขงไปหลวงพระบาง ที่ขายกันมักจะถูกบวกกำไรไปหนึ่งทอดแล้ว ที่คนละประมาณ 900 บาท แต่ถ้านั่งรถต่อไปอีกหน่อยไปซื้อที่ท่าเรือโดยตรงเลย ก็จะได้ที่ราคา 2 แสนกีบ คิดแล้วก็ประมาณ 750 บาท ประหยัดไปได้หลาย

( ลาบแบบลาว ผักสมุนไพรเยอะกว่าของเรา แถมใส่ถั่วงอกด้วย ที่ร้านปิ่นคำ )

อาหารแถวท่าเรือนี้ไม่มีให้เลือกนัก ซึ่งก็น่าเสียดายโอกาสแทนคนลาวอยู่ น่าจะมีคนทำอาหารมาขายนักท่องเที่ยวมากกว่านี้ เพราะแค่นักท่องเที่ยวที่ไปเรือลำเดียวกับผม ก็น่าจะเกือบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องกินแบบเดียวกันหมด คือเจ้าขนมปังบักเก็ต หรือที่คนลาวเรียก ข้าวจี่ ซึ่งมื้อแรกก็น่าตื่นเต้นดี แต่มื้อต่อไปกินบ่อยๆ ไม่เวิร์คครับ

ก่อนไปก็ทำใจไว้แล้วว่า เรือออกช้ากว่าเวลาแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะช้าได้ขนาดนี้ แถมยังอัดนักท่องเที่ยวจนแทบล้นลำ ตอนนี้อยู่กรุงเทพแล้วก็บ่นกันไปครับ ตอนอยู่นั่นก็สะใจคนฮาร์ดคอร์อย่างผมดีเหมือนกัน ตอนเรือจอดอยู่อากาศร้อนอบอ้าวครับ แต่พอเรือออกเดินทางแล้ว ต่อให้คนเยอะกว่านี้ก็ไม่อาจลดทอนบรรยากาศรอบตัวเราไปได้

( เฮือนพักดอนวิลล่าสัก เก่าๆ แต่ได้บรรยากาศ )

ทันทีที่เห็นภาพทิวทัศน์รอบตัวเรือ ทั้งลำน้ำโขงที่ไหลเรียบเอื่อยๆ ภูเขาสองข้างที่เขียวจัด โดยเฉพาะเมื่อผ่านส่วนพรมแดนไทย เป็นลาวทั้งสองฝั่งโขงแล้ว ผสมกับลมบริสุทธิที่พัดผ่านใบหน้า ผมยอมรับว่าบรรยายได้แค่นี้ ได้แค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่เราได้สัมผัสจริงๆ นี่แหละครับ ธรรมชาติที่ไม่ต้องการการปรุงแต่งใดๆ เสพดิบๆได้แบบนี้

ผ่านชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า จากเที่ยงที่ท่าห้วยทราย เรือจอดตามท่าต่างๆอยู่เป็นระยะเพื่อรับส่งชาวบ้าน และสิ่งของที่ขนมากับเรือ เล่าให้ใครฟังว่าต้องนั่งเรือสองวันกว่าจะถึงหลวงพระบาง อาจดูเหมือนโหด แต่มานั่งจริงๆแล้ว ใครที่ชอบความชิล ชอบธรรมชาติ ก็แทบจะไม่สนใจเวลาที่ผ่านไปเลย

( ยามเช้า สายหมอกลอยอยู่เหนือแม่น้ำโขง อากาศเย็นสบายดีแท้ )

พระอาทิตย์ จวนจะลับขุนเขา เราก็มาถึงกลางทาง จุดที่เราต้องแวะพักค้างคืน ก่อนที่จะขึ้นเรือไปต่อในตอนเช้า เมืองปากแบง ที่เราแวะพักนี้ เท่าที่ทราบมาก่อนหน้านี้ก็จะมีเพียงที่พักเล็กๆไม่กี่แห่งที่ส่วนใหญ่ก็จะดัดแปลงจากบ้านของชาวบ้าน แต่เมื่อเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ก็มีคนมาลงทุนทำที่พักขนาดใหญ่ ที่ผมเห็นล่าสุดนี้มีหรูขนาดรีสอร์ตสวยๆของไทยขึ้นมาแล้ว ราคาคืนละพันกว่าบาท สำหรับพวกผม ขอห้องละ 200 บาท น่าจะเหมาะกว่า

ค่ำคืนของที่นี้ไม่ได้มีสีสันอะไรมากนัก จะมีก็เพียงร้านอาหาร คอฟฟี่ช็อปเล็กๆ ผมได้รับคำแนะนำจากเจ้าของบ้านพักให้ไปทานอาหารกันที่ ร้านปิ่นคำ เชื่อไว้ก็ไม่ผิดหวังครับ เป็นร้านที่ทัวร์ไทยมาบ่อยๆ น่าจะเพราะรสชาติอาหารที่ถูกปากคนไทยอย่างเราๆ ราคาก็ไม่ต่างจากบ้านเรามากนัก รวมกับความหิวที่ตั้งแต่เช้ามีเพียงบั๊กเก็ตบิ๊กไซส์ เพียงหนึ่งชิ้นที่ลงท้อง นับเป็นมื้อแรกในลาวที่ได้ลิ้มรสมือชาวลาวแบบเต็มๆ

( เด็กนักเรียน กับพาหนะคู่ใจ จักรยานธรรมดาๆ ไม่มีเกียร์แต่ต้องปั่นขึ้นเขา )

ย้อนกลับไปที่เริ่มลงเรือสักหน่อย แว็บแรกที่เห็นเหมือนมาล่องแม่น้ำอะไรซักแห่งที่ยุโรป เพราะมองไปมีแต่ฝรั่งทั้งนั้น แย่ละสิครับ ภาษาอังกฤษก็ง่อยเปลี้ยซะเหลือเกิน แต่มองไปท้ายเรือก็เห็นคนกลุ่มเล็กๆ หน้าไทยๆ อย่างเรา ค่อยโล่งอกที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทางที่พอจะพูดคุยกันได้

ทันที่ที่ผมกับเพื่อน ได้คุยกับกลุ่มพี่ๆ ที่มากันอีก 4 คน ก็รู้สึกได้ว่า เจอคนที่ทางเดียวกันซะแล้ว มาอยู่ต่างแดน ( แม้จะไม่ได้ห่างบ้านเท่าไร ) เจอคนคอเดียวกัน วัยใกล้ๆกันแบบนี้ คุยกันได้เหมือนรู้จักกันมาสิบปี คุยกับกลุ่มพี่ๆ ได้ความว่า มาจากเชียงใหม่ มาล่องเรือแต่จะไปแค่ครึ่งทางของเรา นั่นคือที่ปากแบง และจะเปลี่ยนไปนั่งรถ ไปเที่ยวเมืองอื่นๆอีกก่อนจะไปหลวงพระบาง และจะวกกลับไทยทางจังหวัดน่าน

แต่หลังจากที่คุยกันอย่างสนิทสนม ผมกับเพื่อนก็พยายามโน้มน้าวให้ไปเส้นทางเดียวกับเรา ที่เดินทางต่อทางเรืออีกในวันพรุ่งนี้ เพื่อตรงไปหลวงพระบาง แต่พี่ๆก็ยังคงความตั้งใจเดิมไว้อยู่ เรากลุ่มคนไทยเล็กๆบนเรือ จึงแยกกันที่ฝั่งปากแบง

กลับมาที่ที่พักโทรมๆ ที่พวกผมนอน ในสนนราคาคืนละ 200 บาท สภาพก็เป็นเรือนไม้เก่าๆ มีรู มีรอยแยกระหว่างซี่ไม้ ให้เห็นอยู่รอบห้อง ภายในบ้านแบ่งได้ประมาณ 5 ห้อง มีฝรั่งที่เดินทางมาด้วยกันอยู่ในห้องข้างๆ ตกดึก ได้เวลาที่พวกเราจะนอนแล้ว แต่ก่อนจะหลับตาลง พวกเราก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ชวนให้ตื่นเต้น พลันลุกจากที่นอนด้วยกันทั้งคู่

( ปากแบง ยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก อีกหน่อยคงเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว )

เปล่าครับ ถ้าใครคิดว่าผมจะเจอผีที่เมืองลาวเข้าให้แล้ว แต่เสียงที่พวกผมได้ยินกลับเป็นเสียงเหมือนในหนังผู้ใหญ่ คงไม่ต้องบรรยายอะไรไปมากกว่านี้นะครับ ด้วยความทะลึ่งของพวกเราเลยตัดสินใจ เปิดประตูออกไปฟังให้ใกล้กว่านี้

แต่เวรกรรม เสียงพื้นไม้ที่เราเหยียบลงไปมันดันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ไอ้ผมก็อดขำถึงพฤติกรรมของพวกเราไม่ได้ ทันที่ที่หลุดขำไปนั้น เสียงของฝรั่งคู่นั่นก็เงียบลงเหมือนจะรู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างนั้น รู้สึกผิดไงไม่รู้ ได้แต่ค่อยๆย่องกลับห้องแต่โดยดี อดเห็นผีผ้าห่มที่เมืองลาวซะ

ผมกับเพื่อนยังคงฮากับเรื่องที่เกิดขึ้นสักพัก ก่อนจะข่มตาหลับอีกครั้งเพื่อเอาแรงไว้ ลุยกันต่อในวันพรุ่งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น