วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

ภูกระดึง In Love ... รักนิด เจ็บหน่อย อร่อยใจ #1

( บ้านเก่าๆแบบนี้ ที่ใครๆยอมทิ้งโรงแรมหรู มาพักที่เชียงคาน )

เคยมีใครพูดกับคุณแบบนี้บ้างมั้ย ... อยากไปไหนก็ไปเลย ... ยิ่งถ้าประโยคนี้หลุดจากปากของคุณที่คุณรัก มันแปลว่า ณ เวลานั้น คนที่เราอยากให้อยู่ใกล้ที่สุด กลับอยากให้เราไปให้ไกลที่สุด ไปไหนก็ไป อย่าได้อยู่ตรงนี้ให้เจ็บปวดทั้งสองฝ่าย

ผมได้ยินประโยคนี้จากคนที่ผมรักที่สุด เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน แต่ผมเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ เพราะถ้าวันนั้นตัดสินใจ ไป อย่างคำพูด เหตุการณ์มันคงยิ่งเลวร้าย เวลาจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเย็นลง และกลับมีสติขึ้น แต่ประโยคนี้มันก็ยังติดอยู่ที่หู ฝังอยู่ที่ใจอยู่ดี

( ที่หน้าห้องนอนของผม )

อยากไปไหนก็ไปเลย ... มาวันนี้ที่เหตุการณ์ต่างๆมันดีขึ้นแล้ว แต่ผมยังจะทำอย่างในคำพูดทุกประการ ว่าแล้วคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมจัดการเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า โบกแท็กซี่ไปหมอชิต และที่ชั้น 3 ผมก็ได้ตั๋วไป "เลย" สมใจ ลงสุดปลายทางที่ เชียงคาน

( ริมแม่น้ำโขงยามเช้า อากาศดีมากๆ )

เพราะได้ยินว่าเชียงคาน นั้นสงบ เยือกเย็น ยามนี้เวลานี้คงเรียกได้ว่า หนาว จะขอไปนอนพักกายพักใจเติมพลังให้ตัวเอง ผมมีเวลา 5 วัน ถ้ามันนานไปนัก ผมเตรียมว่าจะหารถไปน่าน อีกจังหวัดที่คนรักความสงบชื่นชอบนัก

( ท่าถนัด เพราะมีคนเดียว และจักรยานคันเดียว ทำอย่างอื่นไม่ได้ครับ )

รถทัวร์บริษัทภูกระดึงทัวร์ ทยอยส่งคนลงตามทาง จนมาถึงเชียงคานที่สุดปลายสาย เหลือเพียงผม คนขับ และกระเป๋ารถ น่าจะเป็นสัญญาณบอกว่า มาเยือนเชียงคานในวันธรรมดาแบบนี้คงได้เจอความเงียบสงบสมใจ แต่ที่เชียงคาน ณ เวลา ตี่สี่ครึ่งอย่างนี้ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนดี

( เงียบได้ใจจริงๆ สำหรับคนรักความเงียบสงบจริงๆ )

กระเป๋ารถแนะนำให้ไปทานอะไรร้อนๆ แก้หนาวในตลาดก่อน ได้โอวัลตินร้อนๆ กับปาท่องโก๋ กับเสื้อกันหนาวอีกตัว ก็ทำให้อุ่น และสดชื่นขึ้นบ้าง ผมเริ่มออกเดินไปรอบๆ ทั้งๆที่ยังมืดอยู่นั้น ไม่ได้มีจุดหมายอะไร แต่พอเดินไปไม่ไกลนัก ก็พบกับร้านหนึ่งซึ่งกำลังจะเปิด สอบถามได้ว่า ข้างบนมีบริการห้องพักราคาไม่แพง เจ้าของพาขึ้นไปชม แล้วผมก็พบว่า ที่เคยได้ยินว่าบ้านพักที่นี้เก่าแก่นับร้อยปี เห็นกับตาแล้ว เก่าจริงๆครับ บางจุดถึงกับเอาเสื่อมาคลุมไว้ พี่เจ้าของบอกว่า ให้เดินเลี่ยงๆ เพราะตรงนั้นไม้ผุมากแล้ว

( ปั่นจักรยานวนหาของกินหลายรอบแล้ว สุดท้ายลงเอยที่ไข่กระทะ เพราะแม่ค้าใจดี )

ตัวคนเดียวอย่างนี้คงไม่ต้องเรื่องมากอะไรนัก พี่เจ้าของใจดี ให้ผมนอนพักก่อนได้เลย รอฟ้าสางแล้วค่อยออกไปเที่ยวชมเมืองเชียงคาน ผมตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 8 โมงเช้า ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก็ได้เวลาปั่นจักรยานเที่ยวชมเมือง แม้จะไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรมามาก แต่ก็พอจะทราบว่า ถนนเลียบแม่น้ำโขงที่นี่ ก็น่าจะเป็นเส้นทางหลัก ได้ชมบ้านเรือนสองข้างทาง ส่วนเส้นที่ติดแม่น้ำซึ่งเป็นทางเล็กๆ สำหรับเดินและจักรยาน ก็จะได้เห็นบรรยากาศริมน้ำ อากาศบริสุทธิ์ มองไปอีกฝั่งก็จะเป็นเมืองน้องลาว ที่ยังดูเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้

( แก่งคุดคู้ น้ำ หิน ดิน ทราย และภูเขา กับอากาศดีๆ เท่านี้แหละครับ )

สำหรับจุดหมายที่ไกลออกไปหน่อย ที่ยังพอปั่นจักรยานไปไหว ก็คือแก่งคุดคู้ ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ปั่นจักรยานชมวิวแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ไปสัก ครึ่งชั่วโมงก็ถึง แม้จุดหมายคือ แก่งคุดคู้ ที่เป็นเนินทรายกลางแม้น้ำ จะไม่ได้อลังการเท่าไรนัก แต่แค่บรรยากาศที่รายล้อมเราระหว่างทาง มันก็มีเสน่ห์เพียงพอแล้ว

( จะเดินทางมากี่ร้อยกิโล ก็ยังเป็นคันเดียว คนเดียวอยู่อย่างนี้ )

แวะทานอาหารที่นี้ พร้อมกับชิม มะพร้าวแก้ว ที่เป็นสินค้าโอทอปของที่นี่ นั่งกินลมอยู่ที่จุดชมวิวอยู่นาน มองนักท่องเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าผ่านไปจนลืมเวลา เข้าเวลาบ่ายแล้ว แดดเริ่มแรง ไม่เย็นเหมือนช่วงเช้าแล้ว เห็นทีต้องกลับที่พักไปนอนเอาแรง ก่อนจะออกเดินเที่ยวชมเมืองอีกครั้งตอนเย็นๆ

( แสงตะวันโพล้เพล้ แสงนีออนเข้ามาแทนที่ )

ตื่นขึ้นมาอีกครั้งประมาณ 5 โมงเย็น ผมทิ้งจักรยานไว้และออกเดินรอบๆ เพื่อเก็บภาพเชียงคานยามเย็นแบบนี้ ในใจคิดว่า อีกเดี๋ยวพอมืด ถนนเส้นนี้คงคึกคักอย่างที่เคยได้ยินได้ฟังมา แต่เวลาผ่านไป หกโมงเย็นก็แล้ว ทุ่มนึงก็แล้ว ร้านข้างทางก็ยังเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน นักท่องเที่ยวก็ไม่มากนัก มองๆดูแล้วก็เชื่อว่า น่าจะรู้สึกอย่างเดียวกับผม ที่ผิดคาดหรืออาจถึงผิดหวังที่ ร้านปิดไปเยอะขนาดนี้

จริงๆ ได้รับการบอกเล่าจากแม่ค้าที่นี่เมื่อเช้านี้แล้ว ว่าวันธรรมดาร้านต่างๆตามถนนคนเดินนี้จะมีปิดไปบ้าง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะดูเงียบเหงาได้ขนาดนี้ อาจเป็นได้ว่านี่เพิ่งจะผ่านเทศการปีใหม่ไปไม่นาน ร้านต่างๆ อาจจะปิดไปพักผ่อนบ้างเหมือนกันหลังจากรับนักท่องเที่ยวไปมากแล้วช่วงปีใหม่

( อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟจากบ้านเรือน ทำให้มีเสน่ห์ขึ้นอีก )

เดินไปเดินมาหลายรอบ คิดว่าดึกกว่านี้จะยิ่งคึกคัก แต่สองทุ่มก็แล้ว ยังคงเหมือนเดิม ยิ่งเห็นคนที่มาเป็นคู่ มาเป็นกลุ่มแล้ว ความเหงาก็เริ่มโชยพัดมากับลมหนาว คงได้เวลาที่เราต้องกลับเข้าที่พักอีกแล้ว ก่อนจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

( แสงสวยไม่ต้องใช้ตัวช่วย )

กลับเข้าที่พักมา ก็มีแต่ห้องว่างๆ โทรทัศน์ไม่มี วิทยุไม่มี หูฟังไม่ได้เอามา เหลือแต่หมอน มุ้ง และที่นอน กิจกรรมเดียวที่ทำได้คือนอน นอน แล้วก็นอน มาเชียงคานคราวนี้ ได้นอนพักผ่อนเต็มที่จริงๆ

แต่ก่อนจะหลับไหลไปในคืนนี้ ผมเริ่มคิดแล้วว่า จะอยู่อย่างนี้ไปอีกสี่วันหรือ เวลาพักที่หาได้ยากเย็น จะใช้เพื่อนอน นอน แล้วก็นอนอย่างนี้หรือ แผนสองที่เคยคิดไว้ คงต้องเอามาใช้แล้ววันพรุ่งนี้ ตามหลักการส่วนตัวที่ว่า ไม่เวิร์ค ก็มูฟ ดีกว่า และแล้วก็ตั้งใจไว้ว่า พรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าตัวเมือง และอาจจะหารถไปน่าน หรือจังหวัดอื่นๆ ที่พอไปได้ ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนนัก

( คืนวันจันทร์ เงียบจริงๆครับ เงียบจนจับใจ คงถึงเวลาต้องไปแล้ว )

สำหรับเชียงคาน ... คนชอบ คงไม่รู้สึกเบื่อ คนที่เบื่อ ก็อาจแปลได้ว่าไม่ชอบ ตอนนี้คงไม่ใช่ไม่ชอบ เพียงแต่ ชีพจรมันยังไม่หยุดนิ่งพอ มันเริ่มลงเท้าอีกครั้งแล้ว พรุ่งนี้เดินทางต่อครับ

อ่านต่อตอนสองกันนะครับ

http://www.oknation.net/blog/lotslikelove/2011/01/18/entry-3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น